ทหารช่าง กกล.สุรนารีเข้าเคลียร์พื้นที่ชายแดนช่องบกต่อเนื่อง พบทุ่นระเบิดอีกหลายลูก ล้วนสภาพใหม่ ด้านโฆษก ทบ.ซัดเขมรหยุดบิดเบือน เผยแพร่ข้อมูลเท็จ หลังกล่าวหาไทยฝังทุ่นระเบิดเอง ย้ำระเบิด PMN-2 ทบ.ไทยไม่เคยใช้ ย้อนศรเขมรยอมรับพื้นที่พิพาทคืออธิปไตยไทย พร้อมตั้งข้อสังเกต ผอ. CMAA-โฆษกกลาโหมกัมพูชาให้ข้อมูลขัดแย้งกันเอง ขณะที่นักท่องเที่ยวกัมพูชามาตามนัดแห่ชมปราสาท “ตาเมือนธม-ตาควาย” เพียบ ทำให้ยอดคนมาเยือน 2 ปราสาทโบราณพุ่ง ครึ่งวันเช้าเฉียด 7 พันคน ด้าน มทภ.2 ย้ำยินดีต้อนรับที่มาเที่ยว แต่ถ้ามาป่วนเจอมาตรการเบาไปหาหนักแน่หลังจากกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันทุ่นระเบิดที่กำลังพลหน่วยร้อย ร.6021 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบ จนทำให้ทหารบาดเจ็บ 3 นาย โดย 1 ในนี้อาการสาหัส ขาขาด เป็นทุ่นระเบิดใหม่และในพื้นที่เกิดเหตุยังพบอีกนับร้อยลูกผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ค. กองทัพภาคที่ 2 ได้เสริมกำลังทหารช่าง พัน 6 กกล.สุรนารี เข้าปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนในพื้นที่ช่องบก โดยใช้ยุทโธปกรณ์หนัก รถแทรกเตอร์หุ้มเกราะ ชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดชำนาญการ กำลังชุดทหารช่างตรวจค้นกวาดล้างทุ่นระเบิด Mine Clearing เขตทางพื้นที่สงสัยให้ปลอดภัย พร้อมใช้รถโกยตัก ถางขุดตอ และรถถากถางติดตั้งเกราะ เพื่อเป็นการเคลียร์ ทำพื้นที่ให้ปลอดภัย ซึ่งมีการติดตั้งเกราะเหล็กป้องกันพลขับในการทำงานเพื่อความปลอดภัยของกำลังพลที่ออกลาดตระเวนในพื้นที่เขตแดนไทย และเป็นการเก็บหลักฐาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าทางกัมพูชามีการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมรับ แต่กระทรวงการต่างประเทศของไทยจะทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านองค์การสหประชาชาติ (UN) และทางกองทัพบกจะมีมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสมต่อมามีรายงานจากสื่อกัมพูชาระบุถ้อยแถลงของ พล.ท.มาลี โสเชียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ว่า รัฐบาลกัมพูชาขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายไทย เหตุที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บเป็นเพราะออกไปจากเส้นทางลาดตระเวนที่ตกลงร่วมกันตามบันทึกความเข้าใจปี 2543 ฝ่ายไทยพยายามสร้างเส้นทางใหม่เข้ามาในดินแดนของกัมพูชาที่ยังมีกับระเบิดยุคสงครามหลงเหลืออยู่ ซึ่งทางกัมพูชาได้เตือนเรื่องนี้ไปแล้วหลายรอบ กลายเป็นคำถามว่าทำไมทหารไทยถึงถูกสั่งให้ลาดตระเวนนอกเส้นทางที่ตกลงกัน เป็นการตั้งใจยั่วยุหรือเพิ่มความตึงเครียดใช่หรือไม่ กัมพูชาขอเรียกร้องให้ฝ่ายไทยแสดงความเคารพในเรื่องอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศด้วยการกระทำ ไม่ใช่คำพูดลอยๆ พร้อมย้ำว่ากัมพูชาจะไม่ยอมเสียดินแดนไม่แม้แต่มิลลิเมตรเดียวจากนั้น พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งจากกรณีที่นายแฮง รัตนา ผู้อำนวยการสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAA) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน กล่าวหาทหารไทยเป็นผู้ฝังกับระเบิดใหม่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมอ้างว่ามีภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่บ่งชี้พฤติกรรมดังกล่าว มีข้อเท็จจริง ดังนี้ 1.ทุ่นระเบิดที่ตรวจพบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก และพื้นที่อื่นๆ เป็นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นระเบิดสังหารบุคคล ผลิตจากประเทศรัสเซีย โดยกองทัพบกไทย ไม่มีระเบิดชนิดนี้อยู่ในครอบครอง ไม่เคยมีอยู่ในสารบบ การจัดหาเข้ามาใช้ในหน่วยทหารของกองทัพไทย และไม่เคยมีการนำมาใช้ในการปฏิบัติงานในทุกพื้นที่แนวชายแดนแต่อย่างใด 2.ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยสื่อของกัมพูชา ถูกนำเสนอว่าเป็นหลักฐานการวางระเบิดของทหารไทยนั้น ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นภาพจากภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (T-MAC) ในช่วงการฝึกเก็บกู้ หรือช่วงเวลาพักของกำลังพล ไม่ใช่การวางกับระเบิดแต่อย่างใด การนำเสนอข้อมูลในลักษณะดังกล่าวถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสร้างความเสียหายต่อประเทศไทยอย่างร้ายแรงพล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า 3.การที่นายแฮงกล่าวว่า ทุ่นระเบิดอยู่ในเขตไทย ฝ่ายไทยต้องรับผิดชอบ พร้อมอ้างมาตรา 5 ของอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งระบุว่า “เจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” นั้น ยิ่งสะท้อนว่าทุ่นระเบิดที่พบอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย และแสดงถึงการรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย ด้วยวิธีการแอบลักลอบข้ามแดนเข้ามาวางทุ่นระเบิดเอาไว้ นอกจากนี้ยังขัดแย้งกับการให้ข่าวของทางการกัมพูชาเองที่ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงผ่านเพจเฟซบุ๊กกระทรวงฯระบุว่าทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่บ้านเตโชรโกฏ ตำบลมรกต อำเภอจอมกสาน จังหวัดพระวิหาร ซึ่งกรณีการออกมาให้ข่าวย้อนแย้งกันเองของฝ่ายกัมพูชา ในประเด็นที่นายแฮง รัตนา กล่าวว่า ทุ่นระเบิดอยู่ในเขตไทย แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดในการพยายามบิดเบือนข่าวสารจนต้องออกมาแก้ข่าวกันเอง กองทัพบกขอยืนยันว่าประเทศไทยและกองทัพไทยปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสร้างความเข้าใจผิดในระดับนานาชาติอีกด้านหนึ่ง ที่ด้านหน้าสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ถนนประชาอุทิศ เขตวังทองหลาง กทม.ช่วงสายวันเดียวกัน กลุ่มเครือข่ายประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยแนวร่วมกองทัพธรรม พรรคสัมมาธิปไตยและเครือข่ายศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นำโดยนายพิชิต ไชยมงคล นายใจเพชร กล้าจน และนายอานนท์ กลิ่นแก้ว จัดกิจกรรมประท้วงที่กองทัพกัมพูชารุกล้ำเข้าวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่ามกลางกำลังตำรวจร่วม 100 นาย ดูแลความเรียบร้อย รวมถึงนำแผงเหล็กมาตั้งไว้บริเวณด้านหน้าสถานทูตฯ เพื่อป้องกันเหตุ โดยใช้เวลาจัดกิจกรรมราว 3 ชั่วโมง จึงแยกย้ายกันเดินทางกลับส่วนที่ จ.สุรินทร์ ที่มีรายงานตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.ว่ารัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนการเดินทางและอาหารให้คนกัมพูชาเดินทางมาปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก ออกเดินทางจากกรุงพนมเปญ เวลา 23.50 น. ด้วยรถบัส 23 คัน จำนวนกว่า 900 คน โดยผู้ร่วมขบวนจำนวนหนึ่งจัดทำป้ายไวนิลที่มีลักษณะส่อยั่วยุ และจะมาแสดงเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่ปราสาททั้งสอง รวมถึงจะมีหญิงกัมพูชาที่เคยมาชี้หน้าทหารไทยร่วมขบวนมาด้วย ทำให้ตั้งแต่เช้าวันที่ 20 ก.ค.กองกำลังสุรนารีออกมาตรการป้องกันกลุ่มชาวกัมพูชามาป่วนที่ปราสาทโบราณทั้งสองแห่ง ด้วยการกำหนดให้คนกัมพูชาขึ้นชมปราสาทได้ชุดละ 100 คน กำหนดเวลา 30 นาที พร้อมจัดเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยมาร่วมอำนวยความสะดวกและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ขณะที่ นายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ นายอำเภอพนมดงรัก ได้กำชับผู้นำชุมชนช่วยกันสอดส่องดูแลนักท่องเที่ยว ให้สังเกตคนกัมพูชาที่ใส่เสื้อสีขาวขึ้นมา หลังจากเมื่อวันที่ 19 ก.ค. พบทหารกัมพูชาแต่งกายนอกเครื่องแบบขึ้นมาที่ปราสาทตาเมือนธมจำนวนมากผิดสังเกตนอกจากนี้ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 สั่งการให้ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี หารือกับ พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ ผบ.พลน้อย.ร.42 กัมพูชา ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่มีร่วมกัน ให้มีชุดประสานงานอยู่บนปราสาทตาเมือนธม ฝ่ายละ 7 นายเท่านั้น และปล่อยให้การท่องเที่ยวเป็นไปตามธรรมชาติ โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่ายินดีและขอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา และประเทศอื่นๆที่มาท่องเที่ยว และเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของไทย หากนักท่องเที่ยวคนใดก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่มีมาตรการจากเบาไปหาหนักผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่ปราสาทตาเมือนธม เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวคนไทยตั้งแต่เช้า อาทิ คณะคนไทยรักชาติ จ.จันทบุรี เดินทางด้วยรถทัวร์ 4 คัน รถตู้ 5 คัน แวะมามอบสิ่งของและให้กำลังใจทหาร รวมถึงคนไทยจากทั่วทุกสารทิศ ขับรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่ปราสาทตาควาย มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปชมปราสาทโบราณจำนวนมาก ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวกัมพูชาที่มาจากกรุงพนมเปญได้แวะเที่ยวชมปราสาทโบราณแห่งนี้ก่อนเข้าไปที่ปราสาทตาเมือนธมทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 สรุปตัวเลขนักท่องเที่ยวพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง ในเวลา 11.30-12.00 น. นักท่องเที่ยวไทย 2,309 คน ชาวเยอรมันกับอังกฤษ 4 คน นักท่องเที่ยวกัมพูชา 2,289 คน รวมนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 4,602 คน เหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ ไม่มีเหตุกระทบกระทั่งใดๆ ส่วนที่ปราสาทตาควาย ต.บักได นักท่องเที่ยวไทย 303 คน นักท่องเที่ยวกัมพูชา 1,918 คน รวมนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 2,221 คน เหตุการณ์ทั่วไปปกติเช่นกันอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่