เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดการถกเถียงในรัฐบาลมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าระเบิดเจาะบังเกอร์รุ่น GBU-57 ขนาด 13,600 กิโลกรัม ประสบความสำเร็จในการทำลายศูนย์พัฒนานิวเคลียร์ 3 แห่งของประเทศอิหร่านหรือไม่ถึงสุดท้ายข้อเท็จจริงของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร แต่สำหรับฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ เพื่อให้ปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐฯมีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นที่มาของ “โครงการภาคต่อยอด” ของกองทัพอากาศสหรัฐฯที่ต้องการจัดหา “ระเบิดเจาะบังเกอร์เจเนอเรชันใหม่” ที่เหนือกว่า GBU-57 ที่ใช้ในอิหร่านสเปกของอาวุธที่แอร์ฟอร์ซสหรัฐฯคาดหวัง จะต้องเป็นระเบิดเจาะบังเกอร์ที่สามารถใช้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดหลายรุ่น ต่างกับรุ่นปัจจุบันที่ใช้ได้กับเครื่องรุ่น B-2 เพียงอย่างเดียว การประเมินเบื้องต้นเชื่อว่า อาวุธใหม่จะต้องสามารถใช้งานกับเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ B-52, B-2 และเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์แบบพรางเรดาร์รุ่นปรับปรุง “B-21 เรเดอร์” (หน้าตาแบบเดียวกับบีทู)เอกสารความมั่นคงสหรัฐฯยังกำหนดว่า ระเบิดรุ่นใหม่จะต้องมีความแม่นยำสูงหลังถูกปล่อยจากเครื่องบินทิ้งระเบิด ความคลาดเคลื่อนจากเป้าหมาย (ในกรณีที่ระเบิดถูกตัดสัญญาณนำร่อง GPS หรือสัญญาณ GPS ไม่เสถียร) จะต้องมีระยะไม่เกิน 2.2 เมตร ในอัตรา 90% หรือหมายความว่าทิ้งระเบิดไป 10 ครั้งจะต้องไม่คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายในระยะที่กำหนดให้ได้ 9 ครั้งซึ่งถือเป็นสเปกที่มีความแม่นยำสูงมาก เพราะหากเทียบกับสเปกของระเบิดทั่วไปอย่าง JDAM มีความคลาดเคลื่อนได้อยู่ที่ 5 เมตร หรือหากไม่มีสัญญาณนำร่อง GPS สามารถคลาดเคลื่อนได้ถึง 30 เมตรที่สำคัญระบบฟิวส์จุดชนวนระเบิด จะต้องออกแบบให้มีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องมีขีดความสามารถที่จะแยกแยะได้ว่า “เมื่อใดควรถึงเวลาการจุดระเบิด” เพราะโดยปกติแล้วระเบิดเจาะบังเกอร์รุ่นเก่าจะทำงานทันทีเมื่อเจาะถึง “พื้นที่โล่ง” ใต้ดินแต่ในปัจจุบันนี้ ศัตรูมีการรับรู้และแก้เกมกลับด้วยการสร้างห้องโล่งใต้ดินไว้หลายชั้น เพื่อหลอกให้ระเบิดทำงานก่อนเวลา ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการทำลาย.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม