“ตำรวจสอบสวนกลาง” เปิดปฏิบัติการบุกค้นบริษัทค้าทองคำออนไลน์รายใหญ่ “SCT GOLD” รวบ 2 ผู้บริหารตามหมายจับข้อหาฉ้อโกง ร่วมกันยักยอกทรัพย์ และร่วมกันฟอกเงิน เหลือผู้บริหารอีกคนที่ถูกออกหมายจับแล้วแต่ยังหลบหนี ตรวจยึดของกลางเอกสารจำนวนมาก รวมทั้งบัญชีธนาคาร 21 เล่ม มีเงินในบัญชีรวมกว่า 50 ล้านบาท หลังผู้เสียหายร้านค้าทองและนักเก็งกำไรนับ 100 คน นำทองไปซื้อขายกับบริษัท แต่ไม่ได้เงินหรือทองคืน ความเสียหายกว่า 600 ล้านบาท ทั้งที่เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ ทำธุรกิจกับลูกค้ามานานนับ 10 ปี เหยื่อสงสัยนำทองคำของลูกค้าไปซื้อขายเก็งกำไรเอง แต่เกิดขาดทุนเพราะราคาผันผวนหนักจนตกเป็นผู้ต้องหาตำรวจสอบสวนกลางบุกจับกุมผู้บริหารบริษัทซื้อขายทองออนไลน์ฉ้อโกงชาวบ้าน เปิดเผยขึ้นที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ. และพ.ต.อ.กริช วรทัต ผกก.4 บก.ปอศ. พร้อมกำลังตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำหมายค้นศาลอาญาเข้าตรวจค้นบริษัทซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จำกัด หรือ SCT GOLD เลขที่ 99-101 ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ประกอบธุรกิจรับซื้อขายทองแท่งทองรูปพรรณทางออนไลน์ควบคุมตัวนายพิพัฒน์ วชิรลาภไพฑูรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จำกัด ตามหมายจับศาลอาญาที่ 3747/2568 ลงวันที่ 24 มิ.ย.68 และนายอาศุพล ปริยกนก ฐานะกรรมการและส่วนตัว ตามหมายจับศาลอาญาที่ 3748/2568 ลงวันที่ 24 มิ.ย.68 ข้อหาเดียวกันคือ ร่วมกันยักยอก ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงินนอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัท SCT GOLD อีกคนที่ถูกออกหมายจับ แต่ยังจับกุมตัวไม่ได้ ชุดจับกุมยังตรวจค้นยึดอายัดเอกสารหลักฐานการทำธุรกรรม และข้อมูลลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ ขาย ฝากทองคำจำนวนมาก กลับไปตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังพบบัญชีธนาคารรวม 21 บัญชี มีเงินในบัญชีกว่า 50 ล้านบาท จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลางด้วย หลังจากนั้นคุมตัวผู้บริหารบริษัท SCT GOLD ทั้ง 2 คนกลับไปสอบสวนดำเนินคดีที่ บช.ก.การเข้าตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากช่วงปลายเดือน มี.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต พาผู้เสียหายจำนวนมาก ทั้งผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าทองและประชาชนที่สนใจเข้าเก็งกำไรทองคำ แจ้งความร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนินคดีกับผู้บริหารบริษัท SCT ข้อหาฉ้อโกงและข้อหายักยอกทรัพย์ เบื้องต้นมีผู้เสียหายกว่า 100 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 600 ล้านบาทสำหรับบริษัท SCT ดำเนินธุรกิจซื้อขายทองทางออนไลน์มานานนับ 10 ปี มีรายได้ถึง 70,000 ล้านบาท เพิ่งประสบปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถซื้อทองคำหรือโอนเงินให้ลูกค้าได้ช่วงต้นเดือน มี.ค. ผู้เสียหายเชื่อว่า ผู้บริหารบางคนนำทองคำของลูกค้าไปขายเพื่อเก็งกำไร แต่ปรากฏว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมาถึงราคาทองจะเป็นขาขึ้น แต่ผันผวนมากทำให้เกิดการขาดทุน ทำให้ผู้เสียหายเดือดร้อนจากหลากหลายสถานการณ์ เช่น ขายทองแต่ไม่ได้รับเงิน ผู้เสียหายส่งมอบทองให้บริษัทตามกำหนด แต่ถึงวันนัดรับเงินกลับไม่ได้รับเงิน หรือกรณีถอนทองคำประกัน ไม่สามารถถอนทองคืนได้ บริษัทรับตรงๆว่าไม่มีทองคำ หรือนำทองเก่ารีไฟแนนซ์เป็นทองแท่ง แต่ถึงวันนัดรับทองแท่ง ไม่มีทองให้กลุ่มผู้เสียหายจึงรวมตัวกันเพื่อสอบถามจนทราบว่า บริษัท SCT เริ่มไม่จ่ายเงินให้ลูกค้ารายแรกมูลค่า 106 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. แต่ยังคงดำเนินกิจการรับซื้อขายทองอย่างต่อเนื่อง จูงใจลูกค้าด้วยการให้ราคาสูงกว่าราคาตลาด แต่ต้องขอรับทองไปก่อน ทั้งที่ทราบดีว่าบริษัทไม่สามารถชำระคืนลูกค้าได้ ที่น่าตกใจคือแม้บริษัท SCT จะสามารถนำทองของผู้เสียหายไปขายให้โบรกเกอร์รายอื่นและนำเงินมาชำระหนี้ได้ แต่บริษัทกลับปฏิเสธการจ่ายเงินจากการสอบสวนนายพิพัฒน์ วชิรลาภไพฑูรย์ และนายอาศุพล ปริยกนก ผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ.ดำเนินคดี และจะนำตัวฝากขังศาลอาญาวันที่ 27 มิ.ย.นี้อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่