โลกแห่งการเรียนรู้กำลังพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “แต่ระบบการศึกษาไทยกลับยังคงเป็นรูปแบบเดิมๆ” เน้นผลลัพธ์เชิงตัวเลขเป็นเครื่องมือกำหนดความสามารถมากกว่าการสร้างผู้เรียนให้มีความคิดสร้างสรรค์ และปรับตัวได้ ส่งผลให้เด็กเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆสาเหตุจากระบบการศึกษาไทย “ยึดติดโครงสร้างที่ตายตัวและรวมศูนย์” มีการกำหนดแผนการเรียน วิธีรับเข้าศึกษา การนับหน่วยกิต และการประเมินผลที่แข็งตัวอย่าง “แผนการเรียนที่ตายตัว” ก็ให้นักเรียนเลือกสายการเรียนวิทย์-คณิต หรือศิลป์-ภาษา ตั้งแต่มัธยมจนไม่มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเรียนรู้ได้แล้วการเข้าศึกษาก็ยังอิง “คะแนนสอบ และอิงเกณฑ์เชิงวิชาการ” ในการคัดเลือกนักเรียนเข้าโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ด้วยการพึ่งพาผลสอบมากกว่าการพิจารณาทักษะ ความสามารถรอบด้าน สวนทางโลกการเรียนรู้ปัจจุบันที่เชื่อว่าเด็กคะแนนสอบสูงๆ อาจเอาตัวไม่รอดในระบบมหาวิทยาลัย หรือระบบเรียนรู้โลกสมัยใหม่ ทำให้มีการผลักดัน “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะในการทำงาน การแก้ปัญหา และการดำรงชีวิตหลักสูตรนี้ต่างจากการเรียนการสอนในปัจจุบันที่ “ยังใช้หลักสูตรอิงฐานความรู้” ในการนำความรู้เชิงวิชาการมาเป็นตัวตั้งส่วนเรื่องอื่นๆเป็นตัวรอง ทั้งยังมีระบบฐานคิด “แบบนับหน่วยกิตที่อิงกับ Seat Hour” ด้วยการใช้ชั่วโมงเรียนเป็นเกณฑ์พิจารณาจบการศึกษามากกว่าผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจริงซึ่งมีความเชื่อว่า “เด็กต้องเรียน 12 ปีจึงจะจบ ม.6” แต่โลกการเรียนรู้ในปัจจุบันกลับมีเด็กหลายคนสามารถเรียนต่ออุดมศึกษาได้ตั้งแต่อายุ 16-17 ปี ดังนั้นการนำระบบ Seat Hour เข้ามาเด็กจะเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้ต้องเรียนผ่านมา 12 ปี “ใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการศึกษา” จนระบบไม่ได้เปิดโอกาสให้การเรียนรู้นอกโรงเรียนท่ามกลางผู้เรียนลดน้อยลงนี้ยังจำเป็นต้องดึงเด็กไปเรียนในรั้วโรงเรียนต่อไปหรือไม่ รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี ประธาน ผอ.โรงเรียนสาธิตแห่ง ม.ธรรมศาสตร์ สะท้อนผ่านหัวข้อการศึกษาไร้รอยต่อ ในหลักสูตร ลกส.2 ว่า ประเทศไทยพัฒนาระบบการศึกษามาเป็นร้อยปี แต่ยังคงเห็นปัญหาการศึกษาที่มีรอยต่อแบ่งเป็น 4 เรื่อง คือ เรื่องแรก...“เด็กหลุดจากระบบ” จากโครงสร้างที่แข็งตัวจนเด็กบางกลุ่มปรับตัวเข้าระบบการศึกษาไม่ได้กว่า 1 ล้านคน กลายเป็นโจทย์ชวนมาคิดจะทำอย่างไรที่จะนำเด็กเหล่านี้มาอยู่ในระบบเป็นกำลังพัฒนาประเทศให้ได้เรื่องที่สอง...“การศึกษาไม่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง” เพราะหลักสูตรการศึกษาไทยใช้มาตั้งแต่ปี 2540 “เน้นความรู้ตามหลักสูตรมากกว่าพัฒนาทักษะนำไปใช้กับชีวิตประจำวัน” แม้มีการเรียกร้องแก้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯมาตลอดหลายสิบปีก็แก้ไม่ได้ แตกต่างจากหลายประเทศที่มักปรับหลักสูตรสอดรับกับผู้เรียนตลอดเวลาเรื่องที่สาม...“ระบบวัดผลไม่ได้สะท้อนทักษะที่เป็นจริงของผู้เรียน” ด้วยระบบประเมินผลยังอิงกับคะแนนสอบมากกว่าความสามารถที่แท้จริง “เพื่อตัดสิน” ไม่ได้ประเมินตามการพัฒนาของผู้เรียนนำมาสู่ “เรื่องที่สี่...ผู้เรียนมีทางเลือกน้อย” ด้วยโครงสร้างที่รวมศูนย์ และไม่มีทางเลือกในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล“เด็กต้องการเส้นทางที่แตกต่างก็ถูกกีดกันออกจากระบบการศึกษา เนื่องจากปัญหาเชิงระบบไม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กเคลื่อนย้ายข้ามเส้นแบ่งระหว่างใน-นอกระบบโรงเรียน หรือการเรียนรู้มีรอยต่อของศาสตร์-สาขาวิชา ไม่มีการบูรณาการข้ามศาสตร์ ทำให้ทักษะการแก้ปัญหาผู้เรียนไม่อาจอิงความรู้ที่หลากหลายได้” รศ.ดร.อนุชาติ ว่าตอกย้ำเบื้องหลังปัญหานี้ “มิได้อยู่ที่ตัวเด็ก–ครู” เกิดจากแนวคิดจัดการการศึกษาที่มีข้อจำกัดอย่าง “ระบบรวมศูนย์อำนาจ” ถูกกำหนดหลักสูตรเป็นแนวเดียวกันทั่วประเทศเสมือนควบคุมองค์ความรู้ไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางบริบทแต่ละพื้นที่ “โรงเรียน” เป็นกลไกถ่ายทอดความคิดเดียวกันมากกว่าพื้นที่เรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียน เพราะมีแนวคิดว่าการศึกษาต้องอยู่ในโรงเรียน ใช้การสอบเป็นเครื่องมือกำหนดความสามารถแทนที่จะพิจารณาจากศักยภาพเฉพาะตัว หรือทักษะการคิดวิเคราะห์ ทั้งการประเมินผลก็เป็นแบบตายตัว ทำให้การเรียนรู้นอกระบบอย่างการศึกษาในชุมชนถูกมองว่าไม่มีมาตรฐานส่งผลให้การเทียบโอนความรู้จากแหล่งอื่นทำได้ยากสะท้อนแนวคิดที่ว่า “ความรู้ที่ถูกต้องถูกกำกับโดยสถาบันการศึกษามากกว่าประสบการณ์จริง” ดังนั้นคนมีทักษะ ศิลปินนักร้องมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จไม่ได้ถูกยอมรับในระบบการศึกษาที่ถูกออกแบบไว้นี้แต่ว่าการเรียนรู้ต้องก้าวไปข้างหน้า “ข้อจำกัดที่ผ่านมาอาจไม่ใช่จุดจบ” จึงมีการศึกษาจินตนาการใหม่ถึงภาพการศึกษาไทยที่จะตอบโจทย์โลกอนาคตนำมาสู่การศึกษาใน 2 พื้นที่ คือ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และ ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ออกมาเป็นแนวคิด Seamless Education หรือการศึกษาไร้รอยต่อหนึ่งในตัวอย่างคือ “โครงการห้องเรียนข้ามขอบ” ออกแบบการเรียนด้วยภาษาท้องถิ่นเน้นแนวคิดการศึกษาแบบยืดหยุ่นรองรับเด็กที่ต้องการเฉพาะ และเด็กเสี่ยงหลุดจากระบบสามารถเรียนต่อไปได้ โดยผู้เรียนมีทางเลือกที่จะเรียนในระบบปกติ หรือเข้าระบบการศึกษายืดหยุ่นเชื่อมโยงการเรียนรู้ในโรงเรียนกับแหล่งเรียนรู้อื่นอย่างเช่นศูนย์ฝึกอาชีพ พื้นที่ชุมชน คอร์สออนไลน์และเด็กต้องทำงานช่วยครอบครัวสามารถสะสมประสบการณ์ ใช้เป็นหน่วยกิต หรือเทียบโอนประสบการณ์เป็นคุณวุฒิได้ ซึ่งเป็นแนวทางช่วยเตรียมเด็กไทยให้พร้อมเป็นนักเรียนรู้แห่งอนาคตที่ออกแบบระบบเรียนรู้เชื่อมโยงวิถีชีวิต เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดของระบบการเรียนแบบดั้งเดิม สุดท้ายนี้ “การสร้างระบบการศึกษาที่ไร้รอยต่อ” จะสามารถช่วยเด็กที่มีข้อจํากัดให้อยู่ในระบบการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ต้องพัฒนาโมเดล Seamless Education ระดับประเทศ เพื่อลดปัญหาเด็กหลุดจากระบบ “ยอมรับและให้คุณค่ากับการเรียนรู้ที่หลากหลาย” มีระบบรับรองหน่วยกิตไม่จํากัดเฉพาะการเรียนในโรงเรียนแต่รวมถึงประสบการณ์จากการทํางาน หรือกิจกรรมชุมชน และการสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถออกแบบหลักสูตร วิธีการประเมินผลที่ยืดหยุ่นได้มากขึ้น รวมถึงผลักดันให้เกิดเมืองแห่งการเรียนรู้ “การศึกษาควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ไม่ใช่แค่ในโรงเรียน” เปิดให้องค์กรภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ย้ำว่าเด็กทุกคนไม่ใช่ไม่อยากเรียน “แต่ความจำเป็นของชีวิตผลักให้หลุดจากระบบ” การศึกษาไร้รอยต่ออาจช่วยเด็กเสี่ยงหลุดจากระบบได้รับโอกาสเข้าถึงความรู้ที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม