จากปัญหาความขัดแย้งพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทย–กัมพูชา ทั้งสองประเทศได้มีมาตรการต่างๆออกมาตอบโต้กันต่อเนื่อง ล่าสุด รัฐบาลไทยได้ยกระดับมาตรการควบคุมการเข้า–ออกด่านชายแดน ทั้งการเดินทางของประชาชน การขนส่งสินค้า ทยอยปิดด่านตลอดแนวชายแดน ใช้มาตรการควบคุมด้านเศรษฐกิจกดดันล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกับหน่วยงานต่างๆ โดยประกาศมาตรการที่เรียกว่าสกัดกั้นครอบคลุมทุกด้าน อาทิ การควบคุมจุดผ่านแดนระหว่างประเทศ ห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติข้ามไปเล่นพนัน เข้มงวดการเดินทางโดยเครื่องบินมาตรการตรวจสอบบัญชีม้า เส้นทางการเงิน การฟอกเงิน ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต เกตเวย์ใต้น้ำ ระงับส่งออกสินค้า พลังงานเชื้อเพลิง และมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งไทยจะเป็นศูนย์กลางประสานนานาประเทศ องค์กรระหว่างประเทศปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั้งนี้ นายกฯได้กำชับให้ทุกฝ่ายกำหนดไทม์ไลน์และตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลดำเนินการภายใน 3 เดือน เป็นวาระเร่งด่วนและต้องทำจริงจัง โดยได้หยิบยกข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติว่า ประเทศกัมพูชาเป็นศูนย์รวมอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติระดับโลก มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างผลกระทบต่อคนไทยนอกจากนี้ ยังได้สรุปข้อมูลสถิติต่างๆ โดยระบุว่าจากที่หน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงดีอีได้ดำเนินการตามนโยบายแก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ที่ผ่านมาพบว่าทำให้กัมพูชาเสียรายได้ไป 30,000 ล้านบาท จึงขอให้ดำเนินการต่อเนื่องเพราะยิ่งเพื่อนบ้านเสียรายได้เท่าไหร่ ประชาชนของประเทศไทยก็จะปลอดภัยมากยิ่งขึ้นถึงตรงนี้เรียกว่ารัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีเริ่มจับทางและตั้งหลักได้ในการต่อกรเพื่อนบ้าน โดยร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ ใช้หลายมาตรการกดดัน สกัดกั้นปัจจัยที่เข้าไปสนับสนุนธุรกิจสีเทา แหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ บ่อนกาสิโนชายแดนที่เป็นฐานแก๊งพนันออนไลน์ สแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ถือเป็นการยิงเข้าเป้าตรงจุด ได้ผลหลายทาง ทั้งทุบทุนท่อน้ำเลี้ยงของผู้มีอำนาจในกัมพูชาและยังสอดคล้องวาระเร่งด่วนประเทศในการจัดการภัยคุกคามจากขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ทำร้ายคนไทยและหลายประเทศ รวมทั้งดึงความสนใจของโลกมาช่วยล้อมเพื่อนบ้านเกเร ให้อยู่ในร่องในรอย เดินตามกฎกติกาสากล.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม