ในอดีตเรามักได้ยินคำว่า “ไม่เป็นไรหรอก...โกงนิดหน่อย แต่ก็ทำงานได้นี่” กลายเป็นข้ออ้างที่ฝังอยู่ในสังคมไทยอย่างเงียบๆ แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่กำลังเปลี่ยนเกมและเปลี่ยนความคิด“องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน” ระบุว่า จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และมูลนิธิเพื่อคนไทยเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นปี 2568 พบข้อมูลที่น่าสนใจ...คนไทยส่วนใหญ่ “ไม่ประนีประนอมกับการโกง” แล้วร้อยละ 67.3 ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “โกงบ้างแต่ทำงานดี ก็พอรับได้” ความเชื่อเก่าๆ เริ่มถูกตั้งคำถาม เพราะการทำงานดี ไม่ควรต้องแลกกับความไม่โปร่งใสถัดมาร้อยละ 79 บอกชัดว่า ถ้าพิสูจน์ได้ว่าผู้สมัครเคยโกงจะ “ไม่เลือกเด็ดขาด” ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า...นี่ไม่ใช่การให้อภัย แต่คือการปกป้องอนาคตของชุมชนจากคนที่เคยทำผิด นอกจากนี้ ร้อยละ 84.2 มองว่า “การซื้อเสียง” คือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด และร้อยละ 86.1 ระบุว่า “ถึงแม้จะรับเงินจากผู้สมัคร ก็จะไม่เลือกคนนั้นอยู่ดี” สะท้อนว่าคนไทยจำนวนมาก “รับเพราะจำเป็น แต่ไม่ให้ใจ”...แม้แต่คนที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งก็พร้อมปฏิเสธคนโกงที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือกลุ่มเยาวชนอายุ 15-17 ปี ซึ่งยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งแต่กลับ “ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส” เป็นอันดับแรก พวกเขาคือพลังใหม่ที่จะไม่ยอมปล่อยให้ประเทศถูกปกครองด้วยข้ออ้างเดิมๆแน่นอนว่าข้อมูลสำรวจข้างต้นนี้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว เพราะเสียงจากผลสำรวจนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขแต่มันคือ “สัญญาณเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรมการเมือง” ที่ไม่ยอมแลกศักดิ์ศรีของประชาชนกับ “ถนนลาดยาง” หรือ “โครงการประชานิยมเฉพาะหน้า” เราอาจยังไม่หยุดการโกงได้ทั้งหมดแต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนลุกขึ้นบอกว่า “ไม่เอาคนโกง ไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหน” นั่นคือจุดเริ่มต้นของสังคมที่กล้าปฏิเสธวัฒนธรรมการยอมจำนนดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) สะท้อนประเด็นเตือน “งบกลาง” โกงง่าย หวั่นใช้ไม่คุ้มค่า “รัฐ” ต้องเร่งออกมาตรการสร้างความโปร่งใสข้อมูลรายจ่ายงบกลางปี 2569 วงเงิน 6.32 แสนล้านบาทถูกแบ่งใช้จ่ายหลายก้อน แต่ที่เสี่ยงสูงต่อการใช้อย่างบิดเบือน ไม่คุ้มค่าและคอร์รัปชัน คือ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 9.8 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท รวม 1.23 แสนล้านบาท...ขณะเดียวกัน ยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีกพุ่งเป้าไปที่การใช้จ่ายงบกลางรายการกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและการจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฯ กว่า 1.2 แสนล้านบาทมี “ความเสี่ยงสูงมาก” ที่จะเกิดคอร์รัปชันและการใช้จ่ายที่สูญเปล่า ไม่คุ้มค่า ไม่เกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้าง ด้วยปัจจัยสำคัญคือหนึ่ง...งบนี้มีความยืดหยุ่นสูงที่จะนำไปใช้โดยไม่มีแผนล่วงหน้า ทำให้อนุมัติได้ง่ายและเร็ว โครงการที่ได้รับอนุมัติไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณที่ต้องศึกษา ตระเตรียม คัดกรอง ไม่ได้เข้าสู่การตรวจสอบของรัฐสภาเช่นเดียวกับงบประมาณอื่น สอง...แม้กฎหมายให้เสนอ ครม.อนุมัติ แต่ในทางปฏิบัติ เป็นที่รู้กันดีว่าผู้มีอำนาจจริงคือ นายกรัฐมนตรี เท่ากับเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจสามารถเลือกโครงการตามดุลพินิจได้ง่าย เมื่อไร้กติกาจึงขาดความโปร่งใส เป็นไปตามอิทธิพลของพรรคการเมืองและพวกพ้องได้มากสาม...การอ้างภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน เป็นเงื่อนไขให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้“เมื่อพูดถึงงบฉุกเฉินจำเป็น คนทั่วไปมักนึกถึงงบภัยพิบัติ งบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบแก้ปัญหาน้ำท่วม งบฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม งบสู้ภัยแล้ง งบป้องกันไฟป่างบแก้ปัญหาศัตรูพืชระบาด ฯลฯ แต่ความจริงงบก้อนนี้ยังรวมถึงงบราชการลับ งบปลูกป่าปลูกต้นไม้ โครงการขุดลอกคูคลอง...ท่อ ฯลฯ” ข้อสังเกตการใช้งบประมาณกลางในรัฐบาลก่อนหน้านี้ ย้อนไปในปี 2565 รัฐบาลได้อนุมัติงบกลาง 2 พันล้านบาทให้ “โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม เพื่อสร้างมูลค่าและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน” ตามที่นักการเมืองดังและอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีและที่ปรึกษารองนายกฯขอมา...“งบก้อนนี้ถูกกระจายไปให้ 4 มหาวิทยาลัยในภาคอีสานทำโครงการวิจัยลักษณะเดียวกัน ปัจจุบันผู้เกี่ยวข้องกับเงินก้อนนี้กำลังถูกดีเอสไอดำเนินคดีทุจริต...”ขณะที่งบเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานเร่งเสนอโครงการด่วนมาก ทำให้นึกย้อนบทเรียนความเสียหายเมื่อครั้งโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการเราไม่ทิ้งกัน เพราะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้หน่วยงานต่างๆ ไม่มีเวลาคิด จึงงัดเอาแฟ้มโครงการที่ไม่กล้าเสนอเข้าสภา และ...เป็นโครงการที่ถูกตัดทิ้งในการพิจารณางบประมาณประจำปีมาตัดแต่งแล้วยัดกลับมาใหม่ “พวกนี้มักเป็นโครงการฟุ่มเฟือย หละหลวม ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์คุ้มค่า หรือไม่ใช่ภารกิจหน่วยงาน”ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐในยามจำเป็น “กรมบัญชีกลาง” มักออกมาตรการเร่งรัดการจัดซื้อฯ เช่น ลดเวลาการดำเนินขั้นตอนจัดซื้อฯและผ่อนปรนเงื่อนไขการประกวดราคา แต่เจตนาดีเช่นนี้กลับทำให้พวกคนโกงมีข้ออ้างหลบเลี่ยงมากขึ้น?สรุปได้ว่า...การใช้ “งบกลาง” มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเกิดคอร์รัปชัน “รัฐบาล”... จะต้องทำให้การอนุมัติและการดำเนินโครงการที่ใช้งบกลางมีเท่าที่จำเป็น ทุกขั้นตอนดำเนินการต้องเปิดเผยแบบทันทีและตรวจสอบย้อนหลังได้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม