ยุคนี้ไม่เฉพาะแต่เด็กและวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตจดจ่ออยู่กับสมาร์ทโฟน แต่ผู้สูงวัยจำนวนมากก็ก้มหน้าก้มตาจ้องมือถือทั้งวัน จนกลายเป็น โรคโนโมโฟเบีย (Nomophobia) หวาดกลัวเมื่อต้องดำรงชีวิตอยู่โดยไม่มีมือถือ วันไหนลืมมือถือ หรือมือถือ แบตหมด จะกระวนกระวายใจ, หงุดหงิด, เครียด, มีเหงื่อออก, ตัวสั่น และคลื่นไส้ พฤติกรรมติดมือถือยังก่อให้เกิดโรคภัยตามมามากมาย ตั้งแต่นิ้วล็อก, ปวดเกร็งคอบ่าไหล่, จอประสาทตาเสื่อม ไปจนถึงหมอนรองกระดูกคอเสื่อม และเส้นประสาทสันหลังบริเวณคอถูกกดทับ ทำให้เกิดอาการชาที่แขน และมืออ่อนแรงในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา และอดีตประธานเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ของฟีฟ่า ซึ่งทุ่มเทวิจัยด้านกระดูกสันหลัง และเวชศาสตร์การกีฬาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา “ศาสตราจารย์ นายแพทย์จีรี ดโวชัค” ชี้ทางแก้ว่า ควรหันเหความสนใจของเด็กและผู้สูงวัยให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง พร้อมสร้างประสบการณ์ชีวิตให้แก่พวกเขา โดยเฉพาะเด็กยุคใหม่พบเจอปัญหาใหญ่สุดคือ มีพฤติกรรมเนือยนิ่งไร้การเคลื่อนไหวทางร่างกาย สะท้อนให้เห็นจากสถิติโรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นยุคใหม่ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่กำลังคุกคามพลเมืองโลกปัญหาพลเมืองโลกติดมือถือกลายเป็นวาระใหญ่ระดับโกลบอล ถึงขนาดองค์การอนามัยโลกต้องออกมานำเสนอแนวทางการปฏิบัติระดับนานาชาติเรื่อง “ประชากรกระฉับ กระเฉงเพื่อโลกสุขภาพดี” (Active people for a healthier world) เมื่อปี 2016 งานนี้มีการลุยสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติการณ์การออกกำลังกายไม่เพียงพอใน 146 ประเทศ เจาะลึกไปที่กลุ่มประชากรเด็กและวัยรุ่น อายุระหว่าง 11-17 ปี จำนวน 1.6 ล้านคนถามว่าแค่ไหนถึงเรียกว่าออกกำลังกายไม่เพียงพอ ตามนิยามขององค์การอนามัยโลกระบุว่า มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยกว่า 60 นาทีต่อวัน ผลสำรวจชี้ว่ามีวัยรุ่นถึง 81% เข้าข่ายออกกำลังกายน้อยกว่าที่ควรเป็น เลวร้ายสุดคือวัยรุ่นในประเทศที่มีรายได้สูงแถบเอเชียแปซิฟิกเจ้าของงานวิจัยระบุว่า ถ้าไม่อยากให้เด็กอ้วนครองโลกในยุคหน้า เราควรยกระดับการนำนโยบายและแนวทางที่มีประสิทธิภาพมาใช้ เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายในหมู่วัยรุ่นทั่วโลกอย่างเร่งด่วน ควรลงทุนและสร้างผู้นำในทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขต้นตอของการเกิดปัญหา รวมถึงทะลายความไม่เท่าเทียมที่ส่งผลให้เด็กไม่ออกกำลังกาย และไม่สามารถเข้าถึงการออกกำลังกายได้ ถือเป็นความพยายามในระดับนานาชาติ ที่จะสร้างเสริมสุขภาพให้เด็กยุคใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2030 ของสหประชาชาติคุณหมอจีรียืนกรานว่า การออกกำลังกายคือยารักษาโรคที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายยืนยันว่า สมรรถภาพของหัวใจและปอดที่เกิดจากการออกกำลังกายมีผลดีต่อความดันโลหิต, ระดับน้ำตาล และระดับคอเลสเทอรอลในกระแสเลือด ฉะนั้นเป้าหมายหลักของการออกกำลังกายจึงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสมรรถภาพของหัวใจและปอดมากกว่าการลดน้ำหนักการออกกำลังกายควรถือเป็น “สัญญาณชีพที่ห้า” ที่ต้องบันทึกลงในแฟ้มสุขภาพของคนไข้แต่ละคน นอกจากการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป โดยคุณหมอยุคใหม่ให้ความสำคัญมากกับการกระตุ้นเตือนให้คนไข้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตามแนวทางของเวชศาสตร์ป้องกัน มีแต่พวกอยู่หลังเขาเท่านั้นที่ไม่ตระหนักถึงความจริงเรื่องนี้ ยิ่งเคลื่อนไหวร่างกายมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งลดความเสี่ยงที่จะถูกโรคร้ายถามหามากเท่านั้น แถมคุณภาพชีวิตยังดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม