แม้เสียงปืนความตึงเครียด “ชายแดน สปป.ลาวจะสงบลง” แต่คงทิ้งร่องรอยของกองกำลังไม่ทราบฝ่ายโจมตีฐานทหารภูผาหม่น เมืองปากทา “ต้องสูญเสียทหารลาว 3 นาย” ใกล้ชายแดนตรงข้ามดอยผาตั้ง-ภูชี้ฟ้า อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ซึ่งบรรยากาศในพื้นที่ยังคงคุกรุ่นที่อาจเกิดการปะทะซ้ำได้อีกในอนาคตเหตุการณ์ครั้งนี้ “ลูกกระสุนข้ามมาตกฝั่งไทย” สร้างความกังวลที่อาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย “กองกำลังผาเมือง” จึงต้องวางกำลังประชิดแนวชายแดนไทย และมีหนังสือถึงหัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนลาว-ไทย แขวงบ่อแก้ว เพื่อช่วยตรวจสอบ หากมีเหตุการณ์สำคัญขอให้แจ้งทางฝ่ายไทยรับทราบขณะที่ตอนนี้ก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริง “ยังไม่อาจระบุได้ว่ากองกำลังโจมตีเป็นกลุ่มใด” แต่ว่าสถานการณ์ดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลต่อประชาชนพื้นที่ชายแดนลาว-ไทยกันอย่างมากแต่หากย้อนดู “ความขัดแย้งใน สปป.ลาว” ความจริงแล้วมีประวัติศาสตร์การเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในช่วงสงครามเย็นที่มีการแทรกแซงจาก “มหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ รัสเซีย จีน” จนกลายเป็นสนามรบทางการเมืองระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ สะท้อนถึงปัญหาทางการเมืองมาจนถึงปัจจุบันนี้ส่วนปัจจัยภายใน “ก่อเกิดความขัดแย้งภายใน” ก็ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม ความยากจน รวมถึงขาดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และขาดเสถียรภาพทางการเมือง จนไม่อาจพัฒนาประเทศได้เต็มที่ก่อเกิดความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในลาว โดยเฉพาะพื้นที่แย่งชิงทรัพยากร และอำนาจอันเป็นปัจจัยกระตุ้นความตึงเครียดเช่นกันปัจจัยส่งผลให้เกิดการสู้รบในพื้นที่ชายแดนลาวอาจนำมาสู่ความไม่มั่นคงต่อภูมิภาคนี้ ผศ.ดร.วิชิต สุรดินทร์กูร อาจารย์หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต การบริหารการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มรภ.สวนสุนันทา มองว่าเหตุความตึงเครียดชายแดนลาว และกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายนั้นมีผลจากหลายปัจจัยหนึ่งในนั้นเชื่อว่า “กลุ่มว้าแดง และกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ชายแดนลาว–จีน” มีส่วนร่วมการปะทะกับกองทัพลาวในเส้นทางขนส่งยาเสพติด การค้าอาวุธ การค้ามนุษย์ที่มีการแสวงหาผลประโยชน์จากการควบคุมเส้นทางขนส่งต่างๆ แต่ก็มักถูกปราบปรามทั้งการเพิ่มความเข้มงวด การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เสี่ยงสูง และการเสริมสร้างการสอดส่องในเขตชายแดน เพื่อลดการแพร่ระบาดของสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งก็มิได้แก้ไขที่รากเหง้าส่งผลให้ความขัดแย้งยืดเยื้อเพิ่มความรุนแรงเกิดความไม่พอใจ “กลุ่มค้ายาเสพติด” จึงตอบโต้โจมตีฐานทัพทหารลาวนั้นสิ่งนี้ได้สะท้อนถึงปัญหาเชื่อมโยงกับการค้ายาเสพติด “ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านพรมแดนติดกับลาว” มีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพ และความมั่นคงในภูมิภาค ไม่อาจมองข้ามเรื่องที่เกิดขึ้นได้ต้องเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติดและการค้ามนุษย์ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย “ควบคุมปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ” ในการจัดเวทีประชาคมในพื้นที่ชายแดนให้ประชาชนเสนอแนะในกระบวนการตัดสินใจจะช่วยลดการถูกชักจูงจากกลุ่มอำนาจสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายตอกย้ำในส่วน “การรักษาความสงบพื้นที่ชายแดน” ไม่ใช่เรื่องของกองกำลังทหารอย่างเดียว แต่ต้องมองความมั่นคงแบบองค์รวมเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมืองท้องถิ่น “กองทัพไทย” โดยเฉพาะหน่วยงานชายแดนอย่างกองกำลังผาเมืองควรบูรณาการทำงานกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง องค์กรและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อเสริมด้วยเทคโนโลยีการข่าวสมัยใหม่ “จัดตั้งศูนย์บัญชาการร่วมชายแดนระดับจังหวัด” สั่งการแบบจุดเดียวกรณีฉุกเฉิน และฝึกอบรมด้านการข่าวให้กำลังพลระดับท้องถิ่น ทั้งเสริมเทคโนโลยีนำ AI ระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับเสียง โดรนตรวจการณ์ ภาพดาวเทียมมาใช้ตรวจความเคลื่อนไหวแนวชายแดนแล้วนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมผิดปกติ “เส้นทางภูเขาจุดเสี่ยง” สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการลดความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น “หลายพื้นที่ขาดความยืดหยุ่นตัดสินใจทันสถานการณ์” ดังนั้นการจัดเวทีประชาคมชายแดนช่วยให้เสียงชาวบ้านเป็นข้อมูลเชิงนโยบายลดโอกาสถูกชักจูงเข้าเครือข่ายผิดกฎหมายจริงๆแล้วการรักษาความมั่นคงชายแดนจะเกิดไม่ได้ “หากไม่วางรากฐานความร่วมมือระดับภูมิภาค” ประเทศไทยควรเป็นผู้นำผลักดันให้เกิด คกก.ความมั่นคงชายแดนลุ่มน้ำโขง โดยมีสมาชิกลาว พม่า กัมพูชา ไทย คอยทำหน้าที่เป็นกลไกแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ประสานปฏิบัติการร่วมมือต่อต้านภัยคุกคามข้ามพรมแดนร่วมกัน ทั้งฟื้นฟูกลไกความร่วมมือการประชุมแม่โขงตอนบน (Upper Mekong Security Dialogue) โดยเชิญจีนเข้าร่วมฐานะผู้มีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ผ่านโครงการ One Belt One Road พาดผ่านชายแดนลาว-ไทยไม่เท่านั้นการทำให้พื้นที่ชายแดนมั่นคง “ต้องเริ่มจากชุมชนมั่นคงเสียก่อน” ทั้งในมิติรายได้ โอกาส และศักดิ์ศรีของความเป็นพลเมือง “รัฐบาล” ควรริเริ่มแผนแม่บทเขตเศรษฐกิจปลอดภัยชายแดนไทย-ลาวตอนเหนือมุ่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเล็กๆเปลี่ยนคุณภาพชีวิตแท้จริง เช่น ถนนเข้าสู่หมู่บ้าน ระบบไฟฟ้าแสงอาทิตย์อีกทั้งจัดตั้งสภาผู้นำชุมชนชายแดน “เชื่อมระหว่างนโยบายระดับบนกับความต้องการของคนในพื้นที่” สิ่งสำคัญต้องลงทุนในคนรุ่นใหม่ผ่าน “ศูนย์เยาวชนชายแดน” เน้นสอนทักษะอาชีพสมัยใหม่ เพื่อให้เยาวชนมีโอกาสออกไปแข่งขันในระบบเศรษฐกิจ และไม่ตกเป็นเป้าของขบวนการค้ามนุษย์หรือยาเสพติด“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน สปป.ลาวไม่ควรถูกมองเป็นเพียงปัญหาของประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่เรื่องนี้กำลังจะเป็นบททดสอบของการวางแผนยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาว และประเทศไทยจำเป็นต้องหันมาทบทวนบทบาทของตนเองในฐานะผู้ป้องกันเสถียรภาพภูมิภาคมากกว่าจะเป็นเพียงผู้เฝ้าดูเหตุการณ์” ผศ.ดร.วิชิตว่าซึ่งทำให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็น “ผู้ออกแบบภูมิทัศน์ความมั่นคงของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” หากสามารถบูรณาการนโยบายด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และมนุษยธรรมเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด “ไม่มองประชาชนชายแดนเป็นเพียงแค่แนวกันชนของรัฐ” แต่พวกเขาคือผู้ร่วมออกแบบอนาคตของประเทศอย่างแท้จริงนี่คือบทบาทของไทยในสถานการณ์นี้ “ไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง” หากแต่ควรเป็นการแสดงความรับผิดชอบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ด้วยการผลักดันความร่วมมือให้เกิดความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงร่วมกัน...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม