ประเทศไทยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงอีกครั้ง บนสถานการณ์รัฐบาลตกอยู่ในอาการไร้เสถียรภาพ ไร้ประสิทธิภาพบริหารราชการแผ่นดิน ฝ่ายนิติบัญญัติ โดย เฉพาะวุฒิสภาถูกสังคมตั้งข้อสังเกตทำตามใบสั่งทางการเมืองมากกว่ารักษาผลประโยชน์ของปวงชนชาวไทย องค์กรอิสระเริ่มถูกมองว่าไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและขณะนี้ยังเกิดความขัดแย้งระหว่างกรมการปกครองกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หลังจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอลงพื้นที่จังหวัดต่างๆสอบสวนขบวนการฮั้ว สว.ปี 67 จากอดีตผู้สมัครสว. กรมการปกครองสั่งให้กลไกฝ่ายปกครองดูแลสิทธิเสรีภาพประชาชนที่เป็นอดีตผู้สมัคร สว. แต่ฝ่ายตรงข้ามมองว่าเป็นการปิดปากพยานประกอบกับชนชั้นนำ นักธุรกิจ นักลงทุน เจ้าของสถานประกอบการเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน เริ่มไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ทำให้ชนชั้นนำ นักธุรกิจเริ่มเคลื่อนไหวเป็นการภายในส่งสัญญาณถึงผู้มีอำนาจให้เปลี่ยนโครงสร้างรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องการให้กองทัพควานหาเหตุผลยกเป็นข้ออ้างทำรัฐประหารเหมือนในอดีตรัฐประหารครั้งล่าสุด 22 พ.ค.57 เดือนนี้ครบรอบ 11 ปีที่กองทัพสวมบทผู้ป้องกันระงับเหตุวิกฤติการเมือง ก่อนกลายมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองในเวลาต่อมา บทสรุปการยึดอำนาจครั้งนี้ และ 19 ก.ย.49 ตรงกันหมดคือทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง รัฐบาลบางยุค บางพรรคการ เมืองได้นอมินีของผู้มีอำนาจตัวจริงเข้ามาบริหารล่าสุดคณะนิติศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลนิธิพฤษภาประชาธรรม คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดอภิปรายก่อนถึงงานรำลึก 33 ปีเหตุการณ์ 17 พ.ค.35 โดยชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมรัฐบาลกำลังก้าวเข้าไปสู่รัฐล้มเหลว ก่อให้เกิดระบบอภิสิทธิ์ชนตามมา ทำให้ความไว้วางใจของประชาชนลดลงจึงถอดบทเรียนรัฐประหารที่ผ่านมา พร้อมเสนอแนะฝ่ายการเมืองทุกพรรค ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้ช่วยกันรักษาประชาธิปไตยไม่ให้ล้มเหลว หยุดพฤติกรรมคอร์รัปชันที่กำลังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ขอให้ ผบ.เหล่าทัพ หยุดพูดถึงเรื่องประเด็นการเมืองเพื่อสะสมต้นทุนกับสังคมว่าทหารอยากมีส่วนในทางการเมืองสถานการณ์การเมืองกำลังสุกงอม ทำให้สังคมทุกกระดับเคลื่อนไหวกดดันไปยังรัฐบาลให้มีการยกระดับประสิทธิภาพการบริหารประเทศ เพื่อรับมือซุปเปอร์วิกฤติเศรษฐกิจ หากต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนา รมณ์รัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะหมดยุคที่กองทัพจะเคลื่อนรถถังฉีกรัฐธรรมนูญคลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม