รายได้หลักจาก การท่องเที่ยว ต่ำกว่าเป้าที่วางเอาไว้อย่างน้อยๆ ต้องไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้าน ในขณะที่ งบประมาณรายจ่ายของประเทศ เพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้าน ทำให้การจัดงบประมาณรายจ่ายของทุกปี เป็นแบบขาดดุลต่อเนื่อง จนจำไม่ได้ว่า เราบริหารงบประมาณรายจ่ายของประเทศแบบขาดดุลมากี่สิบปีแล้ว การกู้เงินมาใช้จ่ายให้เกิดความสมดุลระหว่างรายรับกับรายจ่ายมีวิธีเดียวคือ การกู้เงิน หรือเอาเงินในอนาคตมาใช้จ่าย ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินของประเทศจะสามารถตั้งเพดานการกู้เงินสูงสุดได้ร้อยละเท่าไหร่ของ จีดีพี ซึ่งปัจจุบันเพดานเงินกู้ของไทยเกือบถึงร้อยละ 70 ของจีดีพี สอดคล้องกับตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสถาบันจัดอันดับเครดิต ฟันธงประมาณการเติบโตเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 หรืออาจจะต่ำกว่านั้น ต้องรอดูว่าผลกระทบจากสงครามการค้าโลกรุนแรงแค่ไหน ล่าสุด เวิลด์แบงก์ หั่นจีดีพีไทยเหลือแค่ 1.6% และปี 2569 จะอยู่ที่ 1.8% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำที่สุดในอาเซียน เมื่อเทียบกับ เวียดนาม ที่จะโตถึง 5.8% และ สปป.ลาว ที่โต 3.5% น่าใจหายจากเสือตัวที่ห้าของเอเชีย กำลังจะกลายเป็น ขี้โรคแห่งเอเชีย ต้องโทษความขัดแย้งทางการเมืองเป็นต้นเหตุมานูเอลา วี เฟอโร รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เสนอแนะไว้น่าคิด “ในขณะที่ต้องหาทางรอดท่ามกลางโลกที่ผันผวน ประเทศในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกยังมีโอกาสที่จะรักษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจของตนเองให้แข็งแกร่ง โดยการลงทุนและรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ รวมถึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่านการปฏิรูปอย่างจริงจังและสร้างความร่วมมือระดับสากลในเชิงลึกมากขึ้น”ปัญหาใหญ่กว่าคือจะนำคำแนะนำมาปฏิบัติได้อย่างไรมากกว่า เพราะดูแล้วเรากำลังจะเดินไปสู่ทางตันทุกวัน โดยเฉพาะปัจจัยทั้งจากภายในและนอกประเทศที่เป็นลบ เราจะมีอะไรไปต่อรองกับ ทรัมป์ เมื่อ ทรัมป์ บอกว่า ไม่สนใจเงื่อนไขใดๆของประเทศใดๆ รวมทั้งจีนด้วย เพราะ ทรัมป์ จะเป็นคนกำหนดเงื่อนไขเอง บานทะโรคแน่นอนอีกไม่กี่วันรัฐบาลเตรียมเสนอ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 สู่การพิจารณาของสภาสมัยวิสามัญ เป็นไปตามปฏิทินงบประมาณ ที่กำลังกล่าวถึงมากที่สุดในตอนนี้คือ งบปรับปรุงพื้นที่อาคารรัฐสภา เป็นความเห็นชอบร่วมกันของประธานสภา วันมูหะมัดนอร์ มะทา กับรองประธานสภาและประธานกรรมาธิการกิจการสภา แบ่งเป็นหลายโครงการ อาทิ ปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภางบ 42 ล้าน ผูกพันไปจนถึงปี 2570 อีก 90 ล้าน โรงภาพยนตร์ 4D มูลค่า 180 ล้าน อ้างว่าเป็นห้องสารนิเทศถ่ายทอดระบบเสียงและภาพ ปรับปรุงศาลาแก้วอีก 123 ล้าน เป็นต้นยังไม่รวมเบี้ยหัวแตกจากงบประมาณรายจ่ายตามกระทรวง กรมและหน่วยราชการ งบลับ งบฉุกเฉิน งบกลางอีกบานตะไทรวมแล้วกรอบวงเงินอยู่ที่ 3,780,600 ล้านบาท ประเทศไทยที่หายไปในวันนี้ไม่ใช่แค่เงินงบประมาณขีดความสามารถในการแข่งขันก็หายไปด้วย.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม