อาคารสูงขนาดใหญ่ “ในเขตกรุงเทพฯ” นับวันยิ่งจะผุดขึ้นใหม่ขออนุญาตก่อสร้างมากทุกปี โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้า หรือที่เดิมบ้านเดี่ยว ชุมชนดั้งเดิม และพื้นที่สีเขียวถูกเปลี่ยนเป็นอาคารสูงเพิ่มขึ้นประเด็นมีอยู่ว่า “การก่อสร้างหลายแห่งไม่เป็นไปตามกฎหมาย” ตั้งแต่ไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบต่อชุมชน ใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน ขาดมาตรการด้านความปลอดภัย หรือละเลยการทำรายงาน EIA โดยเฉพาะการละเมิดกฎกระทรวงฉบับที่ 33 พ.ศ.2535 ข้อ 3 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522ด้วยการไม่จัดให้มีผิวจราจรกว้างไม่น้อย 6 เมตรที่ปราศจากสิ่งกีดขวางรอบอาคารสำหรับรถดับเพลิงเข้า-ออกสะดวก เพราะถูกทำเป็นสวนหย่อม บ่อน้ำ ที่จอดรถ หรือใช้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อประกอบการส่งเสริมการขาย “ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยจากเหตุอัคคีภัย” ที่ต้องมีระยะพื้นที่เข้าช่วยเหลือ กู้ภัย ระงับเหตุ อพยพประชาชน ในกรณีเกิดภัยพิบัติรุนแรง “สภาผู้บริโภค LIVE พูดเพื่อเปลี่ยน” จึงจัดหัวข้อแก้กฎหมายตึกสูงเอื้อนายทุนเอาจริงดิ? ก้องศักดิ์ สหะศักดิ์มนตรี อนุกรรมการด้านที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค บอกว่าการสร้างอาคารสูงในซอยแคบเกิดจาก “ไม่บังคับใช้กฎหมายตรงไปตรงมา” ทำให้อาคารหลายแห่งแทรกขึ้นในทุกอณูของเมืองตามชุมชนแบบสะเปะสะปะส่งผลให้ปรากฏปัญหาผุดขึ้นเต็มไปหมดในกรุงเทพฯอย่างกรณี “ตึกสูงแห่งหนึ่งในซอยร่วมฤดี” มีข้อพิพาทเรื่องความกว้างของถนนตลอดแนวที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายตั้งแต่เมื่อปี 2548 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หลังมีการฟ้องร้องเป็นคดีความในท้ายที่สุดศาลมีคำพิพากษาให้รื้อถอนอาคารตั้งแต่ปี 2557 แต่ปัจจุบันผ่านไปกว่า 10 ปี ยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลดังกล่าวเลย หนำซ้ำกลับยัง “แก้ไขกฎหมายควบคุมอาคารใหม่” เดิมกฎหมายกำหนดให้การก่อสร้างอาคารสูงตั้งแต่ 8 ชั้น หรืออาคารมีพื้นที่ขนาด 10,000-30,000 ตร.ม.สามารถสร้างในซอยมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตรปัญหาที่เกิดขึ้นคือ “เขตทาง” ถูกรวมพื้นที่ฟุตปาทและองค์ประกอบอื่น เช่น คลองระบายน้ำ ฟุตปาท ทำให้พื้นถนนลดลงไม่พอใช้งานจริง ซึ่งหมายถึงพื้นที่ถนนวิ่งได้เพียง 6 เมตร และก่อเกิดปัญหาการฟ้องร้องกันเลยแก้กฎหมายระบุให้มีคำว่า “ผิวจราจร” ดังนั้นในเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตรต้องมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร“เพื่อปลดล็อกให้ถนนที่มีผิวจราจร 6 เมตรสามารถสร้างอาคารขนาดใหญ่ได้ ทั้งที่จริงถนนมีผิวจราจร 6 เมตรควรถูกควบคุมการก่อสร้างอาคารขนาดไม่เกิน 8 ชั้น ดังนั้นถ้าตอนนี้ลุยเข้าไปตามซอยแคบต่างๆ มักจะมีการลักไก่สร้างอาคารขนาดใหญ่ตั้งแต่ 10,000-30,000 ตร.ม.ก่อเกิดเป็นปัญหามากมายอยู่ในขณะนี้” ก้องศักดิ์ ว่ากระทั่งทำให้ “อาคารขนาดมหึมาอยู่ในซอยแคบเกิดความแออัดมากกว่าเดิม” สิ่งนี้เป็นเจตนาดีแต่ประสงค์ร้าย เพราะการใส่คำว่าผิวจราจรดังกล่าวเข้าไปทำให้ถนนที่มีผิวจราจร 6 เมตร “ไม่สามารถสอดคล้องรองรับกับรถดับเพลิงที่จะเข้าไปยังอาคารสูงได้” จนอาจเป็นอุปสรรคต่อการระงับเหตุร้ายฉุกเฉินด้วยซ้ำทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว “การเข้าระงับอัคคีภัยในอาคารขนาดใหญ่” ควรต้องมีถนนกว้างผิวจราจรไม่น้อยกว่า 8 เมตร เพื่อรองรับการทำงานของรถดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่ และรถกู้ภัยเข้าบรรเทาเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังต้องมีทั้งระยะ มีพื้นที่ในการเข้าช่วยเหลือ กู้ภัย ระงับเหตุ และอพยพประชาชนอีกด้วยไม่เท่านั้นรอบอาคารสูง “ต้องมีพื้นที่ผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร” แต่ความจริงอาคารสูง 8 ชั้นมีผิวจราจรกว้างรอบ 6 เมตร ที่ปราศจากสิ่งกีดขวางรอบอาคารมีน้อยมากทำให้ไม่สอดคล้องรถดับเพลิงจะเข้าไปได้ประการถัดมา “ร่างกฎหมายใหม่ก็ปรับเพิ่มคำว่าทิศทางใดทิศทางหนึ่ง” เดิมกำหนดการก่อสร้างอาคารสูงต้องมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องเชื่อมถนนสาธารณะอื่นมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ส่งผลให้สามารถสร้างอาคารสูงในพื้นที่มีถนนเข้าออกที่เชื่อมถนนสาธารณะระยะเขตทางกว้างไม่ถึง 10 เมตรได้ กลายเป็นการปลดล็อกให้สร้างอาคารสูงสร้างในซอยแคบๆ “ส่งผลกระทบต่อชุมชน และผู้อยู่อาศัยที่อยู่ถัดไปบนถนนสายเดียวกัน” ทั้งยังแย่งสาธารณูปโภคก่อเกิดความหนาแน่นของผู้คน การจราจร และมลภาวะเพิ่มขึ้น เพราะการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่มักมีที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 500 ยูนิตแน่นอนนอกจากนี้ร่างกฎกระทรวงฯฉบับนี้ยังกำหนดให้การสร้างอาคารสูงขนาด 10,000 ตารางเมตรขึ้นไปสามารถก่อสร้างบนที่ดินตาบอดได้อีกเพียงแต่ต้องเช่าที่ดินเพื่อเป็นทางออกไปยังถนนสาธารณะโดยให้ทางเข้า-ออกมีขนาด 12 เมตร จากเดิมที่ต้องซื้อที่ดินสร้างเป็นทางเข้า-ออกเท่านั้นจึงจะเห็นได้ว่า “การแก้กฎหมายดังกล่าวเอื้ออาคารสูงบางแห่ง” ที่ใช้วิธีเช่าที่ดินเพื่อเป็นทางเข้า-ออกอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นมีคำถามว่ากรุงเทพฯจำเป็นต้องมีตึกสูงแทรกเข้าในชุมชนมากมายแบบนี้หรือไม่ด้วยปัจจุบันประเทศไทย “ยังไม่มีมาตรการป้องกันภัยพิบัติที่มีความพร้อมสำหรับอาคาร–ตึกสูง” ถ้าสังเกตในช่วงเกิดแผ่นดินไหวส่งผลให้อาคารสูงแตกร้าวจำนวนมากแล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือ “เจ้าของโครงการพยายามลุยตรวจกันก่อน” เพราะหากเจอจุดวิบัติหนักก็จะต้องรีบกลบให้จบเร็วที่สุดมิเช่นนั้นชื่อเสียงจะเสียหาย “ผู้คนอาจจะหนีออกหมด” นำมาสู่การฟ้องร้องเจ้าของอาคารตามมา ฉะนั้นการตรวจสอบอาคารทุกขั้นตอนเป็นเรื่องสำคัญมาก “กฎหมายทุกฉบับที่ออกมานั้น” ก็ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน แต่หากผู้คนไม่มีความสุขเดือดร้อน และสิ่งแวดล้อมพังทลายแบบนี้ก็ไม่ควรสร้างอาคารสูงดังนั้นจึงยื่นเอกสารให้ “ผู้ว่าฯ กทม.” ตรวจสอบอาคารสูง 50 เขตหลังผู้บริโภคร้องเรียนอาคารสูงทำผิดกฎหมายควบคุมอาคารไม่จัดให้มีผิวถนนกว้าง 6 เมตร หวั่นหากเกิดเหตุอัคคีภัย หรือภัยพิบัติ รถดับเพลิง กู้ภัยเข้าไม่ได้เช่นเดียวกับ “ร่างผังเมืองใหม่” ที่กำลังปรับแก้ร่างที่ขีดเส้นการเวนคืนถนน 148 สาย “พาดผ่านหลังคาบ้านประชาชน” เพื่อที่จะดำเนินการตัดใหม่ และขยายถนนให้กว้างขึ้น “แต่ประชาชนไม่รู้เรื่องเลย” ดังนั้นการจะทำอะไรควรมาถามประชาชนก่อนว่าประชาชนอยากจะได้ประโยชน์อะไรจากถนนที่กว้างขึ้นหรือไม่อันเป็นไปตามหลัก “การร่างกฎหมายต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน” แต่กรณีนี้กลับร่างกฎหมายเสร็จโดยไม่ได้รับฟังความเห็นแล้วจะมาให้ทุกคนเห็นด้วยคงเป็นไปไม่ได้ฉะนั้นมาตรฐานความปลอดภัยของประชาชนในอาคารสูง “กฎหมายที่เกี่ยวข้อง” หากเอื้อต่อกลุ่มทุนมากกว่าการคุ้มครองประชาชนก็มักส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยในระยะยาว...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม