โลกร้อนกำลังส่งผลกระทบต่อ “ประเทศไทย” จับสัญญาณจากภัยพิบัติที่รุนแรงเกิดถี่ชัดเจนมากขึ้นในทุกปี “ส่งผลต่อประชาชน และการพัฒนาของเศรษฐกิจ” ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนไม่ว่าจะเป็น “ผลกระทบต่อสุขภาพ” โรคที่เกิดจากอากาศร้อนอย่างโรคฮีตสโตรกในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.2567 มีผู้เสียชีวิต 30 ราย “ผลกระทบต่อเกษตรกรรม” ในภาวะน้ำท่วมและภัยแล้ง มักกระทบการเกษตรรุนแรงขณะที่ “ด้านการท่องเที่ยว” อย่างป่าชายเลน หาดทรายแนวปะการัง มักได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้แหล่งท่องเที่ยวสูญเสียเสน่ห์ หรือความหลากหลายทางชีวภาพ “ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ” การผลิตอาหารในประเทศลดลงจากภัยธรรมชาติที่ไม่แน่นอน และราคาสินค้าเกษตรจำเป็นก็จะสูงขึ้นสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนเป็นหนึ่งความท้าทายสำคัญที่ไทยต้องเผชิญนี้ ดร.พิจิตต รัตตกุล ประธานเครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย (TNDR) บอกว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเริ่มขึ้นแล้วปรากฏหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเฉลี่ย 1.1-1.2 องศาฯ เมื่อเทียบกับช่วงปี ค.ศ.1850-1900สิ่งนี้ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย “ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.7 มม.” ทั้งยังมีแนวโน้มที่ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 30 ซม.ก่อนปี 2100 “อันจะทำให้ไหล่ทวีปมีความเสียหายมากยิ่งขึ้น” ทั้งส่งผลต่อปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา “ทิศทางกระแสน้ำอุ่น” ในมหาสมุทรแปซิฟิกแปรปรวนอย่างเช่น “ลานีญา” ในอเมริกาใต้แห้งแล้งแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมีฝนตกหนัก “เอลนีโญ” ในอเมริกาใต้อาจจะเกิดฝนตกหนักแต่ในส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจจะแห้งแล้งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับ “ประเทศไทย” ก็เริ่มปรากฏหลักฐานผลกระทบรุนแรงชัดเจนในหลายมิติอย่าง “น้ำทะเลในอ่าวไทยสูงขึ้นเฉลี่ย 3–5 มม./ปี” ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 3.3 มม./ปีจากปรากฏการณ์น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายนั้น แล้วจากกรณีน้ำทะเลอ่าวไทยสูงขึ้นนี้ก็ยังมีผลต่อ “การระบายน้ำ” ตามคูคลองที่ถูกผลักสู่ทะเลทำได้ยากมากยิ่งขึ้น ยิ่งหากคลื่นอ่าวไทยแรง “ซัดเข้าชายฝั่ง” โอกาสกระแสน้ำย้อนกลับเข้าคูคลองย่อยมาถนนพระราม 2 “ก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้บ่อย” ด้วยถนนเส้นนี้เป็นเส้นเลือดใหญ่สู่ภาคใต้ย่อมกระทบผู้สัญจรไม่มากก็น้อยแล้วน้ำทะเลเพิ่มขึ้นยังมีผลต่อ “การกัดเซาะชายฝั่ง” อย่างชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนถูกน้ำทะเลกัดเซาะลึกเข้ามาเกือบ 1 กม. ยาว 4.7กม.พื้นที่ป่าชายเลนหาย 2 พันกว่าไร่ และ จ.สมุทรปราการก็ประสบปัญหาถูกกัดเซาะไปจำนวนไม่น้อย สิ่งนี้ทำลายความสมดุลระบบนิเวศทางทะเลกระทบการดำรงชีวิตผู้ที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่งด้วยไม่เท่านั้นโลกร้อนขึ้นนี้ “อุณหภูมิเฉลี่ยประเทศไทยเพิ่มขึ้น 1.2 องศาฯ” กระทบหลายพื้นที่ต้องเกิดความแห้งแล้งยาวนาน หลายจังหวัดขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร และอุตสาหกรรมค่อนข้างรุนแรง แล้วด้วยประเทศไทยตั้งอยู่ “ใกล้เส้นศูนย์สูตร” การพยากรณ์ทำได้แม่นยำน้อยมีแนวโน้มเผชิญการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศเข้มข้นอย่าง “น้ำท่วม” จากความแปรปรวนภัยพิบัติมีผลพวงของภาวะโลกเดือดนี้สังเกตได้จาก “พายุเกิดความถี่ขึ้น 1.5 เท่าในรอบ 50 ปี” แต่เดิมพายุวิ่งมาจากฟิลิปปินส์เข้าอ่าวไทยเฉลี่ย 4-5 ลูก/ปี “แต่ตอนนี้บางปีมาถึง 6 ลูก” อย่างกรณีปี 2554 จนนำมาสู่การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่อีกประการพายุฤดูร้อนในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. “พื้นที่ กทม.” เดิมศูนย์กลางลมอยู่ที่ 40 กม./ชม. แต่ 2 ปีมานี้ความเร็วลม 100 กม./ชม.คงต้องมีมาตรการบังคับให้ผู้ติดตั้งป้ายใช้หลักขออนุญาตก่อสร้างอาคารให้คงทนยิ่งขึ้นเรื่องถัดมา “ปริมาณน้ำฝนตกเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6–12% ในรอบ50ปี” แต่เดิมเคยวัดปริมาณฝนทั้งประเทศเฉลี่ยได้ 1,500 ลบ.ม. ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 1,700-1,900 ลบ.ม. ทำให้เกิดน้ำท่วมในเชิงพื้นที่เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 30% อย่างสมัยก่อนบางพื้นที่ “ไม่เคยเกิดน้ำท่วมเลย” แต่กลับเกิดน้ำท่วมรุนแรงภายในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานี้ ตัวอย่างกรณี “ภาคเหนือน้ำท่วมดินถล่มในปี 2567” ผู้ได้รับผลกระทบกว่า 43,535 ครัวเรือน โดยเฉพาะ “น้ำท่วม จ.เชียงราย” ที่มวลน้ำป่ามหาศาลนำเอาดินโคลนพัดพาเข้ามาทำให้บ้านเรือนเสียหายมากมายในส่วน “ภาคกลาง” อัตราการทรุดตัวของพื้นดินในกรุงเทพฯอยู่ที่ 1-2 ซม./ปี ทำให้เสี่ยงจมน้ำภายในปี 2100 “ภาคอีสาน” พื้นที่ประสบภัยแล้งเพิ่มขึ้น 20% ในช่วง 10 ปีมานี้ส่งผลต่อผลผลิตข้าวและอ้อย “ภาคใต้” คลื่นซัดฝั่ง และพายุรุนแรงเพิ่มขึ้นโดยในปี 2562 พายุปาบึกสร้างความเสียหายกว่า 5 พันล้านบาทสิ่งนี้ล้วนเป็นปรากฏการณ์ “ถี่ เข้ม แปลก” เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอันเกิดจากสภาวะโลกเดือดแล้วในอนาคตยังจะนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรง” ที่กำลังเป็นวิกฤติน่ากังวลอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจน 12 จังหวัดชายฝั่งของไทยเสี่ยงถูกน้ำท่วมภายในปี 2100 หากไม่มีมาตรการป้องกันทั้งยังมี “ผลกระทบต่อสุขภาพ” ที่เกี่ยวกับโรคความร้อน เช่น ฮีตสโตรกเพิ่มขึ้น 30% ในช่วง 10 ปีมานี้ “ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ” ก่อความเสียหายจากน้ำท่วมปี 2554 มีมูลค่าถึง 1.44 ล้านล้านบาทคิดเป็น 12.6% ของ GDP หากไทยไม่ดำเนินการใดๆ GDP อาจลดลงมากกว่า 10% ในปี 2050 จากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นนี้ “ชาวบ้านมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้” เริ่มจากการตื่นตัวและรับรู้ความเสี่ยงในพื้นที่ด้วยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น เช่น น้ำท่วม ไฟป่า คลื่นความร้อน และดินถล่ม แล้วสร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัยในพื้นที่ตั้งกลุ่มเฝ้าระวังภัยพิบัติชุมชนอีกทั้งประสานงานกับหน่วยงานรัฐ เช่น อบต. เทศบาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อซ้อมแผนอพยพน้ำท่วม และไฟป่าประจำปี รวมถึงช่วยกันป้องกันลดผลกระทบก่อนเกิดเหตุได้ด้วยการร่วมมือกันในชุมชนขุดลอกคูคลอง การปลูกต้นไม้ในพื้นที่สาธารณะ เช่น คลอง พื้นที่ลาดเชิงเขา เพื่อป้องกันน้ำหลากดินถล่มทว่าในส่วน “ภาครัฐ” ก็ต้องมีบทบาทสนับสนุนการปรับตัวของชุมชน การมีส่วนร่วมของประชาชน และสนับสนุนด้านเทคโนโลยี งบประมาณ เพิ่มความสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านกฎหมาย นโยบาย โดยเฉพาะการออก พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต้องครอบคลุมการบริหารความเสี่ยงทุกมิตินี่คือผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “ไม่ใช่ปัญหาที่จะเกิดในอนาคต” แต่กำลังส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในปัจจุบันแล้วข้อมูลเชิงสถิติยืนยันว่าแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นหากไม่มีมาตรการรับมือจริงจัง ดังนั้นภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันเพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอันใกล้นี้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม