คนไทยสมัย ร.5 ยังใช้คำว่าผีในความหมายของศพอยู่ครับ ในหนังสือ ซ่อนเร้นไม่ซ่อนลับ เกร็ดไสยศาสตร์ในประวัติศาสตร์ไทย (สำนักพิมพ์ยิปซี พ.ศ.2555) สุริษา มุ่งมาตร์มิตร ค้นบัญชีคนถูกเสือกัดจากเมืองกระบุรี ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นำขึ้นกราบทูล ตอนหนึ่งว่านายนอง ว่าที่หมื่นจบ คุมเลกกองด่านอยู่บ้านหาดพังไกร ไปขึ้นทำน้ำตาลที่กลางนา เมื่อเดือนตุลาคมข้างขึ้น เวลากลางวัน ตะวันเที่ยง พอกลับลงมาจากปลายตาล เสือกัดตาย “ตามผีมาได้ครึ่งหนึ่ง”ส่วนผีในเชิงวิญญาณ แบ่งเป็นสองประเภทผีไม่มีตัว คือผีที่ไม่มีรูปร่างให้จับต้อง คือผีที่ตายเอง ผีบรรพบุรุษ ผีตามป่าเขา ผีเจ้าหรือเทวดา และผีมีตัว คือผีที่เกิดจากคุณไสย เรียกอีกอย่างว่าคนมีของ แล้วของเข้าตัว เช่น ผีปอบในอีสาน ผีกะในภาคเหนือกฎหมายสมัยอยุธยากล่าวถึงผีมีตัว 4 ชนิด ผีจะกละ ผีกระสือ ผีกระหัง และฉมบ อักขราภิธานศรับ ของหมอบรัดเลย์บอกว่า “ฉมบ เป็นชื่อคนมีผีกระสือหรือผีจะกละเข้าสิงอยู่ในตัว มันย่อมอยากกินสิ่งของโสโครก เป็นต้น”ผีไม่มีตัวตนประเภทผีเจ้าในสมัยสุโขทัย ต้องมีการเซ่นสรวงอยู่เสมอ ถ้าเซ่นถูกวิธีบ้านเมืองจะสงบ ถ้าผิดวิธีบ้านเมืองอาจจะประสบหายนะ พระขพุงผี เป็นผีเจ้าที่มีบทบาทมากที่สุด ผู้คนเกรงกลัว กษัตริย์สุโขทัยต้องประกอบพิธีบูชา มีบันทึกไว้ในศิลาจารึกฉบับแรก“มีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือครองเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไว้ดีพลีถูกเมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดีพลีบ่ถูก ผีในเขาอั้นบ่คุ้มบ่อเกรงเมืองนี้หาย...”ในทางกุศโลบาย ในฐานะกษัตริย์หากสามารถทำพิธีสื่อสารกับพระขพุงผีได้ พระองค์ก็จะได้การยอมรับ มีผลต่อความชอบธรรมและความมั่นคงต่อการปกครองกษัตริย์สุโขทัยมีกุศโลบายใช้ความเชื่อทางศาสนาและผีในการปกครองอีก เช่น การพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท มีการกล่าวถึงบาปกรรม ที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นผีหรือสัตว์นรก โดยเฉพาะเปรตสาเหตุแห่งกรรมที่ทำให้กลายเป็นเปรตมีหลายประการ เช่นการคดโกงขายข้าวเมล็ดลีบ การเผาป่า การปกครองบ้านเมืองที่ไม่ตั้งอยู่ในความยุติธรรม“แลมีผีเปรตจำพวก 1 มีวิมานดังเทพยดา...เปรตนั้นหยากเผ็ดเร็ดไร้หนักหนา หาอาหารจะกินบมิได้ แลย่อมเอาเล็บมือของตน อันคมดังมีดกรดนั้น มาข่วนมาขูดเอาเนื้อแลหนังของตนออกมากินต่างอาหารไส้เปรตเหล่านี้เมื่อก่อนโพ้นมันได้เป็นนายเมือง แลแต่งบังคับความราษฎรทั้งหลายไส้แลมันย่อมมักกินสินจ้างของเขา ที่ผู้ชอบไส้มันว่าผิด ที่ผู้ผิดไส้มันว่าชอบ มันมิได้กระทำโดยแพ่งธรรมหามิได้ยังมีฝูงเปรตจำพวก 1 มีตนนั้นใหญ่เท่าภูเขา แลมีเส้นขนอันเรียวแลเสียบแหลมนักหนา ทั้งเล็บตีนเล็บมือใหญ่ แลเล็บนั้นคมนักดังมีดกรดแลหอกดาบ ครั้นว่าเล็บมือเล็บตีนแลขนนั้น ฟัดกันเมื่อไรได้ยินเสียงดังๆ เสียงฟ้าลั่นแล้วเป็นเปลวไฟลุกขึ้นไหม้ทั้งตนเขา แลบาดตัวเขา ดุจดังขวานฟ้าผ่าลงทั่วตนเขาทุกแห่งเลเปรตฝูงนี้ เมื่อก่อนเขาได้เป็นนายเมือง แลแต่งความเมืองมิชอบธรรม ย่อมเห็นแก่สินจ้างแลสินสอด บ่มิเป็นกลาง...”ต่อมา ในสมัยอยุธยา ความเกรงกลัวต่อผีสาง ทำให้เกิดกฎหมายลงโทษ คนที่เป็นฉมบ จะกละ กระสือ กระหัง รุนแรงพอๆกับการก่อกบฏ เพราะเชื่อว่าผีเหล่านี้ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ และทำความตายมาสู่ผู้อื่นผมอ่านเรื่องฉมบฯผีมีตัวตน และเปรต ผีไม่มีตัวตนสมัยโบราณ มาได้แค่นี้ ก็นึกสยดสยองแทนฉมบ และเปรตสมัยใหม่ โทษฐานทำให้ตึกถล่ม มีคนงานตายเกือบร้อยตอนนี้ ก็ต้องอดใจให้พวกมันทุรนทุราย เหมือนเปรตเอาเล็บขูดเนื้อตัวเองกินไปพลางๆ และคงได้นับจำนวนและเห็นหน้าตา ไอ้นายเมืองขี้ฉ้อพวกนี้ ในไม่ช้า.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม