ปัญหาเมาแล้วขับยังเป็นสาเหตุหลัก “การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในไทย” แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหามาต่อเนื่องแต่ก็ยังมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุวันละ 150 คน หรือชั่วโมงละ 7 คนจากการดื่มโดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ “มักมีการเฉลิมฉลองดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ” ถ้าหากย้อนดูสถิติการเสียชีวิตเมื่อ 10 ปีก่อน “กรณีเมาแล้วขับมีอัตราสูงถึง 30%” แต่ปัจจุบันตัวเลขก็เริ่มลดลงมาอยู่ที่ 15% ดังนั้นภาพรวมอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับดีขึ้นเพียงแต่ตัวเลขผู้บาดเจ็บกลับยังคงสูงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562-2566 ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนถนนเข้ารักษาในโรงพยาบาลมีลักษณะการเมาแล้วขับเฉลี่ยปีละ 56,850 ราย ในเชิงวิชาการสถานการณ์ค่อนข้างน่ากังวล “ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)” จึงได้จัดเสวนาเมาแล้วขับเคลียร์ไม่ได้ไปที่ไหนก็ไม่รอด นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการ ศวปถ.บอกว่าอุบัติเหตุเมาแล้วขับเป็นปัญหาเกิดขึ้นทุกวันแล้วสิ่งที่ประชาชนอยากรู้คือ “ต้นเหตุ” ถ้าหากสังเกตอุบัติเหตุสำคัญมักเกิดหลังเที่ยงคืนนับแต่รัฐบาลไฟเขียวขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 นำร่อง 5 พื้นที่ที่กลายเป็นผลกระทบไม่ได้เกิดเฉพาะคนเมาแล้วขับเท่านั้นแต่เพิ่มความเสี่ยงกับประชาชนออกบ้านเช้ามืดประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ สะท้อนถึงการขยายเวลา “เปิดสถานบริการถึงตี 4” เป็นความเสี่ยงกระทบต่อหลายอาชีพเกิดความกลัวต่อการใช้ชีวิตในช่วงไปทำงาน หรือเดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าคนเมาจากเที่ยวจะขับรถมาชนเมื่อไหร่สิ่งที่ประชาชนอยากรู้เรื่องที่สอง...“ข้อมูลคดี” เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรต้องมีการตรวจวัดแอลกอฮอล์จากลมหายใจ หรือปริมาณในเลือดโดยเร็ว “ยิ่งตรวจภายใน 1 ชั่วโมงจะได้ผลแม่นยำที่สุด” เพราะยิ่งปล่อยเนิ่นนานปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลงทุกๆ 1 ชม.ร่างกายจะเผาผลาญขับออก 15-20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (mg%)ทั้งต้องทำควบคู่กับการตรวจประวัติทำผิดซ้ำ “เพื่อให้เกิดความกลัวหยุดพฤติกรรมเมาแล้วขับ” แต่เรื่องนี้นักดื่มหลายคนรู้ดีจึงมักถ่วงเวลาไม่ยอมเป่า เช่น เสี่ยเบนซ์ที่รอดคดีเมาแล้วขับรถชนรถผู้อื่นบนทางด่วน “ไม่ยอมเป่าอ้างเจ็บหน้าอก” ก่อนนั่ง Taxi ไปโรงพยาบาลทิ้งช่วง 5 ชม.ทำให้ผลตรวจแอลกอฮอล์เหลือ 10 mg%สุดท้ายคือ...“ข้อมูลฟ้องคดี” เพราะที่ผ่านมาสังคมรับรู้แค่การเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น แต่ผลดำเนินคดีลงโทษเข้าไม่ถึงข้อมูลนี้ ดังนั้นการจะเปลี่ยนคนเมาแล้วขับในสังคมก็อยากเห็นสื่อเสนอข่าว 3 เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นสำหรับช่วงเทศกาลอย่าง “สงกรานต์” หากย้อนดูสถิติ 7 วันอันตรายในปี 2567 ตัวเลขการเสียชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ 287 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เฉลี่ยที่ 9% ในจำนวนนี้ 1 ใน 3 จะเกิดอุบัติเหตุในรัศมีใกล้บ้าน 5 กม. และการดื่มแล้วขับติดอันดับ 2 ของสาเหตุการเสียชีวิต 15.3% เพราะนักดื่มมีทัศนะว่าดื่มก็ขับรถได้ถ้ามีสติ และไม่คิดว่าเมา“สาเหตุจากการโฆษณาเหล้ามักแฝงไปด้วย 3 เรื่อง คือ 1.เหล้ามากับความสนุกสนาน 2.เหล้ามากับความสำเร็จ เพื่อนฝูง 3.เหล้าจะเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองจนกลายเป็นวิถีปกติในสังคม ทำให้การใช้กฎหมายของตำรวจเสมือนขัดประเพณีที่ทำกันมา ดังนั้นต้องปรับการสื่อสารเน้นการดื่มเหล้าไม่ใช่เรื่องปกติของสังคม” นพ.ธนะพงศ์ ว่าเช่นเดียวกับ ว่าที่ พ.ต.อ.พชร์ ฐาปนดุลย์ สตช. บอกว่า กฎหมายไทยในการบังคับใช้กับคนเมาแล้วขับมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ตามนิยามกฎหมายใช้คำว่า “เมาสุรา” ทำให้จำเป็นต้องมีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ให้ทราบปริมาณของการเมาตามกฎกระทรวงว่าด้วยการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่ พ.ศ.2567 กรณีผลตรวจมีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกิน 50 mg% สำหรับคนอายุกว่า 20 ปี “ถือว่าเมาสุรา” หากเด็กต่ำกว่า 20 ปี ผู้มีใบขับขี่ชั่วคราว หรือผู้ไม่มีใบขับขี่หากมีแอลกอฮอล์เกิน 20 mg% ก็ถือว่าเมาสุราแล้วโดยกฎหมายให้อำนาจตำรวจในการตรวจผู้ขับขี่ด้วยเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยการเป่าลมหายใจถ้าไม่สามารถตรวจผู้ขับขี่ด้วยวิธีวัดลมหายใจได้ก็ให้ตรวจวัดจากปัสสาวะ และตรวจวัดในเลือด แต่ว่าการที่ตำรวจจะทำการตรวจได้ “ตาม รธน.2560 ต้องอาศัยความยินยอม” หากตำรวจตรวจจากลมหายใจไม่ได้กฎหมายกำหนดเพิ่มเติมให้มีอำนาจขอให้แพทย์ตรวจพิสูจน์ผู้ขับขี่อยู่ในภาวะหมดสติ หรือรับอันตรายแก่กายได้สำหรับพฤติการณ์เชื่อว่า “ผู้ขับขี่เมาสุราไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์” ตำรวจมีอำนาจกักตัวไว้ทดสอบ ถ้าไม่ยอมเป่าอีกก็ให้สันนิษฐานว่า “มีความผิด” เพียงแต่ต้องมีพยานหลักฐานให้เห็นชัดว่าบุคคลนั้นไม่ยอมเป่าจริงตอกย้ำโทษผู้ดื่มแล้วขับคือ “จำคุกไม่เกิน 1 ปี” แต่ถ้าเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจมีโทษจำคุก 1-5 ปี หากได้รับอันตรายสาหัสจำคุก 2-6 ปี และกรณีเมาแล้วขับชนคนตายโทษจำคุก 3-10 ปีประเด็นมีอยู่ว่า “สังคม และสื่อมักสนใจเฉพาะคนเมาขับรถชนคนตาย” แต่ที่ผ่านมาตำรวจจราจรทำการตรวจวัดแอลกอฮอล์จับกุมคนเมาแล้วขับดำเนินคดีทุกคืนกลับไม่ได้รับความสนใจ “จนการเมาแล้วขับถูกมองเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไร” ดังนั้นอยากชวนสังคมมาให้ความสำคัญกับการเมาแล้วขับเป็นสิ่งอันตรายทุกกรณีส่วนการทำผิดซ้ำนั้นเมื่อปีที่แล้วมีการแก้กฎหมายเพิ่มโทษใน ม. 160 ตรี/1 คนทำผิดซ้ำอีกใน 2 ปีนับแต่วันทำผิดครั้งแรกมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และ ม.160 ตรี/3 ผู้ทำผิดซ้ำอีกใน 2 ปีให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับเสมอและมีคำถามว่า “เมาแล้วขับเคลียร์ได้หรือไม่” เรื่องนี้การตั้งจุดตรวจของตำรวจทุกหน่วยทั่วประเทศต้องมีมาตรฐานเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติเคร่งครัด โดยจะมีระบบ EPCC ลงบันทึกข้อมูลผู้ปฏิบัติงาน หน.ชุดตรวจ ลักษณะประเภทจุดตรวจ เพื่อป้องกันการปฏิบัติงานไม่โปร่งใสทั้งต้องลงบันทึกรถถูกตรวจ และบุคคลถูกตรวจต้องตรงกัน โดยมีกล้องวงจรปิดมองเห็นครอบคลุมการปฏิบัติงาน ส่วนการเคลียร์เมาแล้วขับเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการสื่อสารคลาดเคลื่อน เช่น ตำรวจวัดแอลกอฮอล์เกินกว่ากฎหมายกำหนดถูกคุมตัวดำเนินคดี ในระหว่างนี้ผู้ต้องหายื่นขอประกัน 4 หมื่นบาทอันเป็นสิทธิตามกฎหมายทำได้แต่พอประกันออกไปก็พูดทำนอง “จ่ายเงินเคลียร์ตำรวจ 4 หมื่นบาท” กลายเป็นการแปลงสารผิดไปเรื่อยๆ ประกอบกับตำรวจสมัยก่อนอาจเคลียร์ได้จริงๆ จนนำมาสู่การขาดความเชื่อมั่นตำรวจมาถึงทุกวันนี้ก็ได้แต่ว่ายุคนี้ที่มี พ.ร.บ.ป้องกันทรมาน-อุ้มหาย พ.ศ.2565 “ตำรวจต้องมีกล้อง Bodycam” บันทึกภาพเสียงให้เกิดความโปร่งใส “เชื่อว่าไม่มีใครกล้าแตกแถว” จึงอยากให้ประชาชนเชื่อมั่นการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจฉะนั้นการแก้ไขปัญหาเมาแล้วขับต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างยั่งยืน “สังคม และสื่อ” ก็ควรตระหนักถึงการดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นความเสี่ยงนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้เสมอคลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม