ต้นทุนสุขภาพของคนไทยกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปี 2568 เนื่องจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง การระบาดของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และความท้าทายทางเศรษฐกิจ ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพของไทยแม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และกองทุนประกันสังคมที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ก็ยังมี “ต้นทุนด้านสุขภาพ” ที่คนไทยต้องแบกรับเอง หากวิเคราะห์ในทุกมิติ ก็จะพบแนวทางที่จะช่วยให้คนไทยสามารถลดภาระเหล่านี้ได้กรณีประกาศด่วนสำหรับประชาชนทั่วไป ตรวจสุขภาพขั้นสูง ไม่มีค่าใช้จ่าย “ต้นทุนของการรู้ ถูกกว่าต้นทุนของการรักษา” รับจำนวนจำกัด ลงทะเบียนออนไลน์ภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 จุดประสงค์เพื่อประเมินสุขภาพของคนไทยที่ “ดูปกติ” ว่าปกติจริงหรือไม่ทั้งระบบสมองด้วย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต บอกว่า โครงการนี้ในการตรวจยังจะได้ข้อมูลถึงตัวแปรต่างๆเกี่ยวกับระบบในร่างกาย ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบสมองโดยข้อมูลเหล่านี้จะได้นำไปพัฒนาเป็นมาตรฐานสุขภาพของคนไทยรวมทั้งสมองเมื่อเข้าไปใน QR Code จะมีหน้าสำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัย และจะมีหน้าสำหรับบุคคล ประชาชนทั่วไป เลือกเพียงหนึ่งวันและหนึ่งช่วงเวลา ย้ำว่า...เป็นคนปกติทำงานได้และรู้ข้อมูลสุขภาพของตนเอง ตรวจคอมพิวเตอร์สมองเอ็มอาร์ไอ (ไม่มีการกินยาหรือฉีดสี) และตรวจเลือดโปรตีนขั้นพิเศษยกตัวอย่างกรณีผลกระทบหลังได้รับวัคซีนและเมื่อติดเชื้อ “โควิด” มีแนวโน้มอาการหนักขึ้น รวมทั้งผลแทรกซ้อนหลังการติดเชื้อถอดความจาก https://www.researchsquare.com/article/rs-6175467/v1 รายงานสำคัญอยู่ในการพิจารณาของ nature ลักษณะของโรคประจำตัวที่ทำให้ติดโควิดอาการหนักขึ้น คนฉีดวัคซีนเข้าโรงพยาบาลมากกว่าคนไม่ฉีดและมีอาการหลังจากติดเชื้อโควิด post acute sequelae complication (PASC) หนักกว่าการสำรวจออนไลน์ทั่วโลก 7,541 คน จาก 95 ประเทศ พบว่า ผู้ชายที่ได้รับวัคซีนมีแนวโน้มที่จะรายงานอาการไข้สูง... การเข้ารักษาในโรงพยาบาลหลังจากติดเชื้อ SARS-CoV-2 ครั้งแรกมากกว่าผู้ชายที่ไม่ได้รับวัคซีน ส่วนผู้หญิงรายงานว่าพบอาการ PASC บ่อยกว่าผู้ชายผู้หญิงรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (AEs) ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนมากกว่าผู้ชายหลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรก...เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน 6.24% เทียบกับหลังจากติดเชื้อโควิดผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเข้าโรงพยาบาล 1.06%โรคที่ทำให้เมื่อติดโควิดอาการรุนแรงขึ้นได้แก่ โรคไทรอยด์ โรคกระดูกพรุน และโรคภูมิต้านทานตนเอง พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่า...ขณะที่ผู้ชายมีรายงานปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของหลัง คอเลสเทอรอลสูง และความดันโลหิตสูงมากกว่าตอกย้ำ...สภาวะที่มีอยู่ก่อนหลายอย่างทำให้มีความเสี่ยงสัมพันธ์ที่จะเป็นโรค COVID-19 ที่รุนแรงเทียบกับที่ไม่รุนแรง... ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 55 ปี มีความเสี่ยงสัมบูรณ์ 6.01% ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า55 ปี มีความเสี่ยงสัมบูรณ์ 11.69% ที่จะเป็นโรค COVID-19 ที่รุนแรงเทียบกับที่ไม่รุนแรง กรณีสตรีที่ได้รับวัคซีนรายงานระบุว่ามี PASC ที่เกี่ยวข้อง กับรอบเดือนในระบบสืบพันธุ์มากกว่าสตรีที่ไม่ได้รับวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญ...และผู้ชายที่ได้รับวัคซีนรายงานว่ามีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในระบบสืบพันธุ์เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ไม่ได้รับวัคซีนรายละเอียดเพิ่มขึ้นทางข้อมูลตัวเลขและสถิติ ผู้ที่ได้รับวัคซีนมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหลังการติดเชื้อ PASC ดังต่อไปนี้ “น้อยกว่า” อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับที่ไม่ได้รับวัคซีนเริ่มจากความเหนื่อยล้า...อ่อนเพลีย, การเปลี่ยนแปลง... สูญเสียการรับกลิ่นและรสชาติ, ไข้, ปวดเมื่อยตามตัวและ...หรือกล้ามเนื้อ, คัดจมูก, หนาวสั่นและปวดศีรษะผู้ได้รับวัคซีน...มีแนวโน้มที่จะเกิดและรายงานว่ามีอาการปวดตา, ไอ, หายใจลำบาก, นอนหลับผิดปกติมากขึ้น, สับสน... ไม่สามารถตื่นได้เต็มที่, ต้องเข้าโรงพยาบาล การใส่ท่อช่วยหายใจ...การช่วยหายใจและปอดบวม รวมถึงอาการอื่นๆ น่าสนใจว่ามีรายงานการเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับอาการไม่พึงประสงค์จากวัคซีนโดยผู้ป่วย 6.24% (56/898 ราย) เมื่อเทียบกับผู้ป่วย COVID-19 ที่ไม่ได้รับวัคซีน 1.06% (25/2,351 ราย) มีอาการนอนไม่หลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลง... ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจ ทนต่อความร้อน...ความเย็นไม่ได้ ปวดหู...ปวดเมื่อยเหล่านี้...ล้วนเป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับ PASC ในผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน...อาการหนาวสั่น ไข้ หายใจถี่ ไอ มีน้อยกว่าในผู้ป่วยโควิดที่ไม่ได้รับวัคซีน จำเป็นต้องมีการติดตามผลอย่างละเอียดและถี่ถ้วนเพื่อให้เข้าใจดีขึ้นว่าภาวะสุขภาพที่มีอยู่ก่อนและ...หรืออาการไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ทำให้ภาวะแทรกซ้อนจากโควิดรุนแรงขึ้นหรือไม่? ต้นทุนสุขภาพของคนไทยในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านสังคม ผู้สูงวัย โรคเรื้อรัง และค่าครองชีพที่สูงขึ้น หากไม่มีการวางแผนทางสุขภาพที่ดีประชาชนอาจต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่หนักขึ้นในอนาคต การลงทุนในสุขภาพวันนี้จะช่วยลดต้นทุนการรักษาในอนาคตและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น“สุขภาพดีไม่มีขาย ต้องสร้างเอง” เริ่มต้นดูแลตัวเองให้ดีๆตั้งแต่วันนี้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม