ผลกระทบทางสังคมเป็นประเด็นสำคัญที่ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พลิกมุมคิดหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรตั้งแท่นพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การบริหารสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในสัปดาห์นี้ เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ใช้ช่วงระหว่างปิดสมัยประชุมสภาพิจารณาแก้ได้อย่างเต็มที่แม้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ยกเหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล โดยมีมาตรการควบคุม กำกับ ดูแลสถานบันเทิงครบวงจร ที่มี “กาสิโน” อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ไม่ให้การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรส่งผลกระทบต่อ “สังคมอย่างร้ายแรง”และในเอกสารแนบท้ายกฎหมายยังเน้นถึงผลกระทบโดยรวมที่อาจเกิดขึ้นตามกฎหมาย โดยระบุว่า......“หากบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นไปอย่างเคร่งครัด อาจทำให้สถานบันเทิงครบวงจรกลายเป็นศูนย์รวมอบายมุข แห่งอาชญากรรมจะกระทบต่อเด็กและเยาวชน วัยแรงงาน กลุ่มเปราะบาง อาจส่งผลให้ภาพรวมประเทศไทยอาจต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อใช้ป้องกัน แก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมีสถานบันเทิงครบวงจร”โดยผู้ที่ศึกษาปัญหาการพนันระดับแนวหน้าอีกคนหนึ่งของประเทศอดเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ไม่ได้ ตรงนี้เป็นปัญหาแม้ร่างใหม่กฤษฎีกาได้เติมอะไรเข้ามาเยอะทีเดียว โดยเฉพาะมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน กำหนดชัดเจนกาสิโนเป็นสถาบันการเงินหนึ่ง ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องปฏิบัติตามภายใต้มาตรการพิเศษขณะที่ผลกระทบด้านสังคม โดยเฉพาะประเทศที่ทำบ่อนกาสิโนมีผลกระทบต่อสังคมน้อย ต้องมีมาตรการที่พยายามป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมา ร่างเดิมของรัฐบาลมีมาตรการกำหนดเอาไว้หลายข้อ แต่ยังไม่เพียงพอพอถึงในชั้นกฤษฎีกาได้เติมให้บุคคลที่เข้าได้ต้องมีเงินฝากออมทรัพย์อย่างน้อย 50 ล้านบาท ติดต่อกันเวลา 6 เดือน ตรงนี้ก็ถูกวิพากษ์เยอะว่า มีคนเหลือน้อยที่จะเข้าไปได้รวมถึงการทำแผนป้องกันและปราบปรามผลกระทบทั้งหลาย ต้องมีมาตรการบำบัดเยียวยา ขอเปรียบเทียบกับกฎหมายประเทศอื่น โดยเฉพาะสิงคโปร์ ได้ตั้ง “คณะกรรมการเพื่อดูแลผลกระทบที่เกิดจากการพนัน” ไม่ใช่ “คณะกรรมการที่กำกับดูแลกาสิโน” เป็นอีกชุดหนึ่งประกอบด้วยบุคลากร เช่น ทางแพทย์ ทางสังคมมีหน้าที่เช่น ติดตามสถานการณ์คนที่มีปัญหาจากการพนันมีขนาดไหน ถ้ามีจำนวนมากก็ออกมาตรการเพิ่ม มีโปรแกรมรณรงค์ โดยเฉพาะให้เด็ก เยาวชนเข้าใจพิษภัยการพนัน มีโปรแกรมให้คำปรึกษาบุคคลที่มีปัญหาจากการพนันแบบชุมชน ใช้เงินลงไปกับเรื่องเหล่านี้เยอะมากในทุกพื้นที่บางทีการให้คำปรึกษาทางพื้นฐานไม่เพียงพอสำหรับบุคคลที่อาจมีอาการลักษณะติดการพนัน ใครต้องร้องขอความช่วยเหลือ ก็สามารถมีโปรแกรมเหล่านี้ในโรงพยาบาลคณะกรรมการชุดนี้เป็นหนึ่งปาร์ตี้ที่มีความสำคัญ มีสิทธิ์แจ้งเรื่องการอนุมัติให้ใคร (เข้าไปกาสิโน) ได้ ทำงานแยกส่วนกับคณะกรรมการที่กำกับดูแลกาสิโน สิงคโปร์ให้ความสำคัญกับเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในสังคมมาก เพื่อควบคุมปัญหาให้มันลดน้อยลงแต่ประเทศไทยคิดแค่มีกติกาก็เพียงพอแล้วลองไปดูประสบการณ์ของสิงคโปร์ใช้กฎหมายบังคับ ช่วงที่เปิดใหม่ๆเจอปัญหาอะไร ปรากฏ 10 ปีแรกต้องมีการปรับอยู่ตลอดเวลา แม้มีกาสิโนระดับโลกเข้ามาดำเนินการ 2 ราย แต่ 10 ปีแรก มีกาสิโนถูกปรับในกรณีอนุญาตให้บุคคลที่ไม่เหมาะสมเข้าไป อนุญาตให้บุคคลเข้าไปแล้วไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมขณะที่ญี่ปุ่นกฎหมายผ่านปี 2560 กำหนดมี 3 แห่งเท่านั้น แต่ทำด้วยความระมัดระวัง จนถูกวิพากษ์เป็นกระบวนการที่ยาวนาน เพราะกำหนดว่ากาสิโนมันเป็นความรับผิดชอบร่วมระหว่าง “รัฐบาลส่วนกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น” ในพื้นที่ทำอะไรต้องปรึกษาประชาชนก่อน เพิ่งสร้างที่โอซากาแห่งเดียวในปี 2568 อีก 5 ปีถึงเสร็จย้อนกลับมาดูไทย สังคมกังวลกติกาที่เขียนเอาไว้ สุดท้ายไม่มีการบังคับจริง ไม่เคร่งครัด ไม่ตรวจสอบดูทิศทางของไทยมีโอกาสประเดิมที่ 4 ใบอนุญาต ใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย เชียงใหม่-บุรีรัมย์-สงขลา-กรุงเทพฯ ลงเสาเข็มในรัฐบาลนี้ และอีก 3 ปีก่อสร้างเสร็จ รศ.ดร.นวลน้อย บอกว่า เป็นสิ่งที่รีบร้อน ในแต่ละพื้นที่เข้าใจว่าอาจมีพวกนักการเมืองบวกทุน ไม่แน่ใจมีนายทุนมากขนาดไหนก็จะมาบอกว่าจังหวัดนี้ๆอยากมี (กาสิโน)ในวันที่แผ่นดินไหวจำได้หรือไม่ นายกฯ (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) ไปประชุมการท่องเที่ยวที่ภูเก็ต นายกสมาคมท่องเที่ยวภูเก็ต ประกาศว่า “ภูเก็ตไม่เอา” นับว่าเป็นการประกาศที่ฉลาดมากเพราะปัจจุบันนักท่องเที่ยวก็เต็ม อาจรองรับไม่ได้ หรือถ้าเป็นนักท่องเที่ยวเก่าที่มาไม่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ มันเยอะมากแล้ว แต่มีผลกระทบกับทุนท้องถิ่นแน่มีตัวอย่างบางรัฐในสหรัฐอเมริกา พอกาสิโนเข้าไป กาสิโนอาจเติบโตร่ำรวย แต่เอสเอ็มอี ทุนเล็กเจ๊งหมด และในญี่ปุ่นเกิดปรากฏการณ์เดียวกัน เดิมช่วงทำกฎหมาย โตเกียว-โยโกฮามาดูเหมือนอยากได้แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ส่งข้อเสนอ เพราะมีนักท่องเที่ยวเยอะอยู่แล้ว เขาสามารถสร้าง “เอนเตอร์เทนเมนต์ฯโดยไม่ต้องมีกาสิโน”ในร่างกฎหมายไม่ได้กำหนดมีเอนเตอร์เทนเมนต์ฯโดยมีกาสิโนกี่แห่ง สังคมยิ่งเป็นห่วงเมื่อมีการแพลมไต๋ออกมาจะเปิดรวด 4 แห่ง สมมติเกิดขึ้นได้จริงๆ ประเทศไทยควรมีกี่แห่ง รศ.ดร.นวลน้อย บอกว่า นี่ไงคือปัญหาต้องมีให้น้อยไว้ก่อน เช่น 1 หรือ 2 แห่ง เพื่อดูผลก่อนว่าเป็นอย่างไร ควบคุมปัญหาได้หรือไม่ ที่สำคัญมากกว่านั้น ต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ว่าต้องการให้มีหรือไม่เพราะกาสิโนสร้างความเสี่ยงทางสังคมใครหลงเข้าไปในการพนันวิบัติได้ง่ายๆ เมื่อเกิดปัญหาไม่ได้กระจุกอยู่เฉพาะคนที่ติดพนัน ปัญหากระจายไปที่ครอบครัว กระจายออกไปที่สังคม อาทิ เกิดปัญหาลักขโมยถึงขั้นฆาตกรรมยกตัวอย่างที่ฟิลิปปินส์ เปิด 50 แห่ง เปิดมานานนับ 50 ปี โดยต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวสุดท้ายปัญหาสังคมเยอะมาก ติดพนันเยอะมาก มุมเศรษฐกิจเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เป็นเศรษฐกิจแบบประเภทพนัน ไม่ต่อยอด “ความยั่งยืนของกิจกรรมการผลิต”ฉะนั้นไม่ได้สร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจไทย ถ้าอยากสร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ไม่ใช่คำตอบสำหรับกาสิโนกฎหมายต้องกำหนดให้ชัดเจน ไม่ควรมอบดาบให้คณะกรรมการนโยบายฯมีหน้าที่และอำนาจกำหนดพื้นที่ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร กำหนดใบอนุญาต กำหนดประเภทการพนันในกาสิโน รศ.ดร.นวลน้อย บอกว่า พูดง่ายๆเปิดให้เล่นอะไรได้บ้างต้องไปขออนุญาตรัฐบาลชอบระบุว่าพื้นที่กาสิโน 10% ไม่มาก ขอยกตัวอย่างสิงคโปร์ไม่ได้กำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่กำหนดในพื้นที่ที่มีทั้งหมดของเอนเตอร์เทนเมนต์ฯมีกาสิโนได้เท่าไหร่ เอาพื้นที่กาสิโนหารพื้นที่เอนเตอร์เทนเมนต์ฯเฉลี่ยประมาณ 3% ทั้งสองที่ ญี่ปุ่นกำหนดห้ามเกิน 3% ก็มากเพียงพอให้บริการแล้วทุกประเทศที่เปิดยอมรับพื้นที่กาสิโน 3% นั่นคือ “แหล่งรายได้ที่เป็นหลัก” อย่างในมารีนา เบย์ แซนด์ ในสิงคโปร์ เป็นรายได้ 2 ใน 3 ของเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เนื้อหาในร่างกฎหมายยังไม่ละเอียดพอ เพราะต้องออกกฎหมายประกอบอีก 24 ฉบับ สังคมถึงเป็นห่วงในสิ่งเหล่านี้ รศ.ดร.นวลน้อย บอกว่า ขณะนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ของการผ่านกฎหมายแบบหลวมๆ แม้มีความเข้มงวดมากขึ้นเพราะรัฐบาลยอมรับไม่เคยมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ตัวเลขทั้งหลายที่พูดถึงไม่มีอะไรมารองรับ รัฐบาลบอกเพียงไปว่ากันในอนาคต จึงรู้สึกหนักใจ ที่จะทำกฎหมายก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงความเสี่ยงกับประชาชนอย่างนี้หรือรัฐบาลอยากเร่งร้อน-เร่งรีบมากเกินไปโดยที่ประชาชนส่งเสียง แต่รัฐบาลไม่ฟัง.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม