แผ่นดินไหวที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาขนาด 8.2 ที่ระดับความลึก 10 กม.ครั้งนี้ แรงสั่นสะเทือนรับรู้ และสร้างความเสียหายในหลายจังหวัดของประเทศไทย สาเหตุเกิดจากการเคลื่อนตัวของ “รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault)” ที่ถูกขนานนามว่าเป็น...“ยักษ์หลับกลางเมืองเมียนมา”การตื่นของยักษ์หลับครั้งนี้ “ไทยรัฐออนไลน์” ให้ข้อมูลถึงประเภทรูปแบบ “รอยเลื่อน” เอาไว้น่าสนใจ หนึ่ง...รอยเลื่อน ตามแนวมุมเท (Dip-slip fault) คือเคลื่อนที่ในแนวขึ้น-ลง แยกย่อยออกเป็น...รอยเลื่อนปกติ เกิดจากการที่เปลือกโลกถูกดึงออกจากกัน ทำให้ผนังด้านบนเลื่อนลงและผนังด้านล่างเลื่อนขึ้นรอยเลื่อนย้อน...เกิดจากที่เปลือกโลกถูกการอัดเข้าหากัน ผนังด้านบนเลื่อนขึ้นและผนังด้านล่างเลื่อนลงและมีความหนามากขึ้น ในกรณีของรอยเลื่อนย้อนที่ระนาบการเลื่อนตัวเอียงเทเป็นมุมน้อยกว่า 45 องศา เรียกว่ารอยเลื่อนย้อนมุมต่ำ สอง...รอยเลื่อนตามแนวระดับ (Strike–slip fault) คือเคลื่อนที่ในแนวราบแบ่งเป็น...รอยเลื่อนตามแนวระดับด้านขวาคือเมื่อมองไปยังรอยเลื่อนพื้นที่ฝั่งขวาของรอยเลื่อนเลื่อนเข้าหาผู้สังเกต ซึ่ง “รอยเลื่อนสะกาย” อยู่ในประเภทนี้ และ...รอยเลื่อนตามแนวระดับด้านซ้ายคือเมื่อมองไปยังรอยเลื่อนพื้นที่ฝั่งซ้ายของรอยเลื่อนเลื่อนเข้าหาผู้สังเกตสุดท้ายประเภทที่สาม...รอยเลื่อนตามแนวเฉียง คือมีการเคลื่อนผสมกันทั้งขึ้นลงและแนวราบสำหรับ “ขนาด” ของ “แผ่นดินไหว” ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ถ้าหินมีความแข็งแกร่งสูงก็สะสมพลังงานได้มากกว่า หรือพื้นที่รอยเลื่อนที่ใหญ่และมีความยาวก็จะปลดปล่อยพลังได้มากและมีแนวโน้มเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่าเช่นกัน...รวมถึงระยะการเลื่อน เลื่อนมากเท่าไหร่ก็ปล่อยพลังงานมากเท่านั้นและ...ถ้ามีอัตราการเลื่อนต่อปีสูงก็จะสะสมพลังงานไว้สูงด้วย พุ่งเป้าไปที่ “รอยเลื่อนสะกาย” จะพบว่ามีความยาว 1,200 กิโลเมตร...มีอัตราการเลื่อนเฉลี่ย 2 เซนติเมตรต่อปี ทำให้สะสมพลังงานอย่างต่อเนื่องและปลดปล่อยออกมาในรูปแบบแผ่นดินไหวเป็นระยะ และมีศักยภาพในการก่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่อย่างที่เคยเกิดมาแล้ว เมื่อปี พ.ศ.2455 ที่มีขนาดถึง 8.0ด้วยปัจจัยหลายอย่างรวมกันที่ว่ามานี้ ทำให้แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรงมากย้ำว่า “รอยเลื่อนสะกาย” เป็นหนึ่งในรอยเลื่อนมีพลังอันดับต้นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา สาขาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บอกว่า ถ้ายึดตามข้อมูลของกรมอุตุฯ 8.2 ครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดขนาด “แผ่นดินไหว” ที่เกิดตามแนว “รอยเลื่อนสะกาย” คิดตามแนวรอยเลื่อน...ที่แรงที่สุดคือ 8.0 ในปี 2455 ดังนั้นถ้าปีนี้ได้เกิดขนาด 8.2 ไป จะถือว่าเป็นขนาดที่มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา...แรงที่สุดในรอบ 113 ปีข้อมูลจาก “มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ” ระบุว่า ในรอบ 50 ปี ระหว่าง พ.ศ.2516-พ.ศ.2566 พบว่า รอยเลื่อนสะกายทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2.9-7.0 มาแล้ว 668 ครั้งย้อนไปในอดีตช่วงต้นรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์ รอยเลื่อนนี้ก็เคยทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.0 ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อปี พ.ศ.2455 ซึ่งทำให้เจดีย์สำคัญพังทลาย และแรงสั่นสะเทือนครั้งนั้นก็รับรู้ได้ถึงภาคเหนือและพื้นที่กรุงเทพฯด้วยนอกจากนี้ในปี พ.ศ.2473 หรือ 95 ปีก่อน ยังเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.3 ที่เมืองพะโค ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 คน ส่วนครั้งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 ในเมียนมา เคยเกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกาย ขนาด 6.0 โดยอยู่ห่างจากอำเภอพบพระ จังหวัดตาก 289 กิโลเมตรทำให้รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนมายังกรุงเทพฯและนนทบุรี มาแล้วเช่นกันนักธรณีวิทยายังประเมินด้วยว่าในช่วง 5-10 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่รอยเลื่อนนี้จะมี “พลัง” ก่อให้เกิด “แผ่นดินไหว” ขนาดสูงสุดถึงระดับ 7.5สำหรับชื่อภาษาอังกฤษของรอยเลื่อนสะกายคือคำว่า “Sagaing Fault” คนไทยสมัยก่อน อ่านว่า “รอยเลื่อนสะเกียง” ส่วนชาวต่างชาติเรียก “รอยเลื่อนสะแกง” แต่ชาวเมียนมาเองจะเรียกว่า “รอยเลื่อนสะกาย” ดังนั้นปัจจุบันจึงมีการเรียกชื่อตรงกันว่า “รอยเลื่อนสะกาย”ขีดวงเฉพาะ “กรุงเทพฯ”...เมืองใหญ่ๆ ผู้คน สิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านเรือนหนาแน่น ที่สำคัญมีปัจจัยชั้นดินอ่อนสั่นไหวง่าย ควรวางแผนรับมือ “แผ่นดินไหว” ในอนาคตอย่างไรบ้างรศ.ดร.ภาสกร ปนานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะว่า กรุงเทพฯมีโอกาสได้รับอันตรายจากแผ่นดินไหวได้สองแบบ หนึ่ง... แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ระยะไกล เช่น ขนาด 5...6 ขึ้นไป ขนาดปานกลางถึงใหญ่เกิดขึ้นรอบๆประเทศไทยอาคารสูงก็จะสั่นไหว แตกร้าวได้...แสดงว่าสั่นแรงพอสมควรสอง...แผ่นดินไหวขนาดปานกลางแต่อยู่รอบๆกรุงเทพฯเรารู้อยู่แล้วว่ากรุงเทพฯถูกล้อมด้วยรอยเลื่อนหลายรอย ทางตะวันตก มีรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์กับศรีสวัสดิ์ที่กาญจนบุรี ถ้าเกิดขนาด 5 หรือ 6 กรุงเทพฯก็น่าจะได้รับผลกระทบบ้าง และก็อาจมีรอยเลื่อนทางฝั่งตะวันออกด้วยแถวนครนายก สระบุรี ลพบุรีฝากไว้ว่า...แผ่นดินไหวที่คาดเดาไม่ได้ ต้องเรียนว่าเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ เกิดขนาดเท่าไหร่ เรานั่งกังวลไปก็กังวลอย่างเดียวทำอะไรไม่ได้ก็เครียดเปล่าๆ น่าจะเตรียมตัวเองให้พร้อมในการรับมือ ในเรื่องอาคารถ้าไม่พร้อม เก่า...สร้างมานานแล้วถ้ามีกำลังทรัพย์ก็ปรับปรุงให้แข็งแรงขึ้น“สิ่งสำคัญตัวเราเอง คนในครอบครัวต้องทราบว่าเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาแล้วจะดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัย” รศ.ดร.ภาสกร ปนานนท์ กล่าวทิ้งท้าย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม