ในรัฐนิยม 12 ฉบับ ที่ท่านผู้นำ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2482 มีสองสามฉบับที่คนรุ่นปู่ย่าตายายจดจำเล่าขานเรื่องหนึ่ง คือความพยายามของรัฐบาลที่จะชี้ชวนให้คนไทย “สวมหมวก”ส.พลายน้อย เขียนไว้ในหนังสือ “วันก่อนคืนเก่า” พิมพ์คำสำนักพิมพ์ พ.ศ.2541) ว่าเวลาผ่านไปปีสองปี คำชีชวนไม่ค่อยมีผล พ.ศ.2484 ท่านผู้นำต้องออกหนังสือเวียนถึงรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ให้ตักเตือนข้าราชการให้สวมหมวกไปทำงานเป็นตัวอย่างแต่กระนั้น ผลก็ยังไม่ทันใจ นายกฯต้องออกแรงกล่าวคำวิงวอนทางวิทยุกระจายเสียง ขอร้องพี่น้องสตรีไทย นัดหมายวันที่ 19 มิ.ย. ให้สวมหมวกพร้อมๆกัน เพื่อให้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ไทยนักเรียนหญิงที่เป็นสมาชิกอนุสภากาชาดต้องสวมหมวกผ้าสีขาว มีแถบผ้าพันหมวกสีกรมท่า พับเป็นโบหูกระต่ายไม่ทิ้งชาย มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ฯ ออกข้อบังคับให้นักศึกษาทั้งชายและหญิงสวมหมวกทุกคน3 ส.ค.2484 กรมโฆษณาการ กรมประชาสงเคราะห์ ช่วยกันจัดงานประกวดหมวกและเครื่องแต่งกาย ที่สวนอัมพร ในงานนี้ท่านผู้นำได้ปราศรัยถึงอานิสงส์การสวมหมวกไว้ดังต่อไปนี้คำว่า “มาลา” แปลว่า หมวก เครื่องประดิษฐ์ที่ใช้สวมใส่ที่ศีรษะเพื่อกันแดด ฝุ่นละออง ฝน และกันไม่ให้ผมยุ่ง บางทีหมวกอาจกันไม่ให้ศีรษะล้านก็ได้เรารู้จักหมวกกันมานานแต่ในสมัยที่ล่วงแล้วมา หมวกไม่เคยได้มีส่วนช่วยชาติเลย มีหน้าที่แต่กันศีรษะเท่านั้น แต่บัดนี้ หมวกนี้เอง จะเข้ามาช่วยส่งเสริมให้ชาติไทยสูงเด่น มีเกียรติและเป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ไทยเป็นมหาอำนาจได้คำปราศรัยนี้ เป็นที่มาของคำขวัญ ที่พูดกันติดปาก “มาลานำไทยเป็นมหาอำนาจ”ถึงเวลานั้น การสวมหมวกเป็นความจำเป็น ถ้าไม่สวมหมวกไปติดต่อราชการก็ไม่มีใครสนใจ บางแห่งถึงกับไม่ยอมให้เข้าไป คนไม่มีหมวกจึงต้องไปขอเอาจากบริเวณใกล้ๆบางคนถือติดมือ พอเข้าเขตราชการจึงเอาหมวกวางบนศีรษะ พอเป็นกิริยาความจำเป็นนี้มีผลให้เกิดอุตสาหกรรมทำหมวกขาย ทำจากใบลานบ้าง จากผ้าบ้าง ส.พลายน้อยเล่าตอนเป็นนักเรียน เคยดัดแปลงหมวกสักหลาดลูกเสือมาใช้ให้เข้ายุคสมัย จึงได้มีโอกาสช่วยชาติเป็นมหาอำนาจกับเขาด้วยรัฐบาลออกแรงเคี่ยวเข็ญให้สวมหมวกพักใหญ่ แต่ยังมีปัญหาคนส่วนใหญ่ไม่สวมรองเท้า กรมสาธารณสุขรับงานชี้แจงชาวบ้านว่า การสวมรองเท้าป้องกันพยาธิชอนไชเข้าซอกนิ้วเท้า ป้องกันโรคบาดทะยัก ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตคนไทยมีชีวิตประจำวันอยู่กับดินและนํ้า เมื่อถูกบังคับให้สวมรองเท้า คนหนุ่มสาวไม่มีปัญหา แต่คุณตาคุณยาย ตอนไปติดต่อทางการต้องยืมรองเท้าลูกหลานใส่ หลวมบ้างคับบ้างในที่สุดก็ต้องหิ้วรองเท้าไปเป็นพยาน ยืนยันว่าไม่ขัดขืนนโยบายแต่ประการใดยังมีรัฐนิยมที่ให้ความรู้สึกเฝื่อนฝาดอีกหลายเรื่อง เช่น การห้ามกินหมาก การห้ามนุ่งโจงกระเบน การเปลี่ยนวิธีเขียนหนังสือไทยแบบใหม่ คนไทยก็ทนๆกัน จนผ่านกันมาได้ส.พลายน้อย ยอมรับว่า รัฐนิยมที่ท่านผู้นำทำได้สำเร็จอย่างหนึ่ง คือการปลุกระดมให้คนไทยกินก๋วยเตี๋ยว เริ่มด้วยการขอให้เลี้ยงหมูปลูกถั่วเขียวไว้เพาะถั่วงอก ทำวุ้นเส้น จนนำไปสู่จุดหมาย คนไทยควรขายก๋วยเตี๋ยวเป็นท่านผู้นำเอาจริงเอาจัง สั่งการไปทุกจังหวัด ให้ข้าหลวง นายอำเภอ ครูใหญ่ทุกโรงเรียน ขายก๋วยเตี๋ยวคนละหนึ่งหาบ กรมประชาสงเคราะห์ พิมพ์ตำราทำก๋วยเตี๋ยวแจกไปทั่วนับแต่นั้นมา คนไทยก็นิยมกินก๋วยเตี๋ยว ขายก๋วยเตี๋ยวเป็น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องสรรเสริญท่านผู้นำได้เต็มปากเต็มคำบ้านเมืองเราตอนนั้น ญี่ปุ่นกำลังรุกไทย วาง “ระเบียบใหม่” ขอใช้ “วงไพบูลย์ร่วมกัน” รัฐบาลจึงจำเป็นต้องประกาศรัฐนิยม เพื่อต่อต้านเพื่อรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของไทยเอาไว้สถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้...แตกต่างตรงข้าม ไทยเราไม่มีท่านผู้นำมาชี้นิ้วสั่ง ให้ทำโน่นทำนี่ ห้ามทำโน่นทำนี่ แต่เรามีผู้นำสตรีที่อ่อนหวาน พร้อมจะเอาใจชาวบ้าน นี่ก็ทำๆและทำมากว่าครึ่งปี แต่ก็ยังเจอข้อกล่าวหาเดิมๆ ทำอะไรเองก็ไม่เป็น.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม