ถือเป็นห้วงเวลาอันยากลำบากสำหรับ “ยูเครน” หลังมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆว่า หากอยากได้การสนับสนุนต่อไป ก็จำเป็นต้องทำข้อตกลงด้านทรัพยากรกับรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯโดยงานนี้มีจุดเริ่มต้นจาก “ลินซีย์ เกรแฮม” สว.สายเหยี่ยวสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่เป็นผู้มอบไอเดียแก่รัฐบาลยูเครนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้ ไม่ใช่คนที่จะมาใส่ใจเรื่องการทำกำไรได้มากได้น้อย แต่ให้ความสำคัญกับการ “ปิดดีล” ทำไมยูเครนไม่ลองเสนอ “ทรัพยากร” เพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรองดูเล่าจนเป็นที่มาของการยื่นข้อเสนอไปยังวอชิงตัน ทันทีที่ทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิดของฝั่งยูเครนว่า เป็นการยื่นหมูยื่นแมว ดึงสหรัฐฯเข้ามาลงทุน ถ่ายทอดเทคโนโลยีขุดเจาะแร่ธาตุ และได้ส่วนแบ่งจากทรัพยากรอันล้ำค่าของยูเครน เพื่อแลกกับ อาวุธยุทโธปกรณ์ ไว้ใช้รบกับรัสเซียเหมือนกับช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา หรือถ้าโชคดีหน่อยสหรัฐฯก็อาจจะแถมทหารให้ด้วยอย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์กลับทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด ส่งตัวแทนไปยังกรุงเคียฟและยื่นหนังสือสัญญาพร้อมปากกาแก่ “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดียูเครน ให้ลงนามยอมรับการส่งทรัพยากรที่สำคัญให้แก่สหรัฐฯ โดยสิ่งเหล่านี้ถือเป็น ค่าบริการและหนี้สิน ที่ยูเครนต้องชดใช้แก่สหรัฐฯ ในฐานะที่สหรัฐฯส่งความช่วยเหลือให้มากมาย ก่ายกอง (ช่วยไปกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 12 ล้านล้านบาท)แน่นอนว่าเซเลนสกีโมโหโกรธามากและปฏิเสธที่จะลงนาม ซึ่งผลที่ตามมาคือการถูกสหรัฐฯกดดันอย่างหนัก ย้ำเตือนอีกครั้งให้ลงนามระหว่างการประชุมความมั่นคงที่นครมิวนิก เยอรมนี ก่อนนำไปสู่ประโยคเด็ดของประธานาธิบดีทรัมป์ว่า ผู้นำยูเครนเป็นเผด็จการที่ไม่ยอมจัดการเลือกตั้ง หลังจากเซเลนสกียังคงดื้อดึงที่มาที่ไปมันก็เป็นเช่นนี้ ถือเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการประเมินสถานการณ์อย่างผิดพลาด จนส่งผลให้ตัวเองอยู่ในสภาพหนีเสือปะจระเข้อย่างแท้จริง.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม