หญิงไทยไปทำงานต่างประเทศ “ถูกบังคับค้าประเวณี” โดนทำร้ายร่างกายตกอยู่ในสภาพไร้ทางเลือกจาก “ขบวนการค้ามนุษย์” ต่างรอความช่วยเหลืออีกมากกลายเป็นปัญหาสะเทือนใจเกิดขึ้นต่อเนื่องแม้ว่าหญิงไทยเหล่านี้บางส่วน “จะสามารถช่วยเหลือกลับมาสู่บ้านเกิดได้ก็ตาม” แต่พวกเธอต้องผ่านประสบการณ์อันโหดร้าย “ทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกาย และจิตใจ” เป็นรอยแผลใหญ่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบัน “แต่ยังมีผลระยะยาวต่อชีวิตในอนาคต” บางคนไม่อาจกลับมามีชีวิตที่ปกติได้ด้วยซ้ำความโหดร้ายสุดจะบรรยายนี้สะท้อนเป็นอุทาหรณ์จาก “หญิงไทย จ.พิษณุโลก อายุ 27 ปี” ที่เคยตกเป็นเหยื่อถูกหลอกค้าประเวณีที่เมืองล็อกกิ่ง ประเทศเมียนมา แต่เดิมเธอทำงานใน จ.ชลบุรี “พอปลายปี 2565 ถูกชวนไปทำ KTV” เป็นงานนั่งชงเหล้า ร้องเพลง เอนเตอร์เทน เล่นเกมกินเหล้ากับลูกค้า รายได้เฉลี่ย 1-2 แสนบาท/เดือนแล้วยังอ้างอีกว่า “KTV ไม่ใช่งานขายตัว” สวนการเดินทางก็ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ “เลยปรึกษาเพื่อนอีก 2 คนตกลงจะเดินทางไปด้วยกันในช่วงเดือน ก.ย.2566” โดยรุ่นพี่ที่เป็นนายหน้าขับรถเก๋งมารับไปส่งสนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางกันไปถึงสนามบินเชียงใหม่ และมีคนมารับพาไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง พอรุ่งเช้าก็เดินทางเข้าประเทศเมียนมาใช้เวลา 5 วัน “กว่าจะปลายทางเมืองล็อกกิ่ง หรือเล่าไก่ รัฐฉาน” อันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงของคนจีน “หญิงไทยคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น” ก็มารับตัวไปพร้อมชี้แจงว่าเรา 3 คนมีค่าใช้จ่ายการเดินทางมา “ต้องทำงานขายบริการให้คนจีน” ทั้งมีหนังสือสัญญาให้ลงรายมือชื่อด้วยสิ่งสำคัญคือ “หนังสือฉบับนั้นเป็นภาษาจีน” ไม่สามารถล่วงรู้เลยว่าเป็นหนังสืออะไรแต่ก็ยอมเซ็นชื่อลงไป “แถมถูกยึดหนังสือพาสปอร์ตคงเหลือแต่บัตรประชาชนไม่ได้ให้” โดยคืนแรกถูกส่งมานอนในโรงแรมด้วยกัน 3 คน “รุ่งเช้าถูกจับแยกกัน” ก่อนมาทราบภายหลังว่าเพื่อน 2 คนถูกคนจีนซื้อตัวไปประมาณแสนกว่าบาทส่วนตัวเองถูกส่งไปทำงานในร้านคาราโอเกะ “บังคับให้เสพยาเคตามีน” ควบคู่กับการดื่มน้ำแฮปปี้ เมื่อทำงานไม่ไหวก็ถูกขายต่อเลยขอร้องให้ย้ายไปอยู่กับ “เพื่อนอีก 2 คน” จนมีโอกาสเจอหน้ากันและวางแผนที่จะหนี เพราะถ้าอยู่แบบนี้น่าจะไม่รอดแน่ๆ จึงพยายามทำตามทุกอย่างให้นายจ้างคนจีนเชื่อใจยอมคืนโทรศัพท์ให้ทำให้มีโอกาสติดต่อกับ “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมแจ้งพิกัดส่งข่าวระหว่างรอความช่วยเหลือเป็นระยะจนกระทั่ง 1 สัปดาห์ก็ถูกจับแยกออกจากกัน “เพราะเพื่อน 2 คนถูกขายไปอีกที่ราคา 1.5 แสนบาท” ต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมานถูกกักบริเวณออกไปไหนไม่ได้ แถมคนคุมให้ “กินข้าวแค่วันละมื้อ” แต่เร่งรัดหาเงิน มิฉะนั้นจะขายต่อไปที่อื่น “จึงตัดสินใจติดต่อนายหน้าคนไทย” ขอให้ช่วยหนีกลับไทยแลกกับเงินคนละ 40,000 บาท และพามาพักห้องเช่าของทหารว้า 2 อาทิตย์ “ตำรวจจีนก็มารับตัวส่งตัวให้ตำรวจพม่า” ต้องอยู่ในห้องขัง 1 เดือน ก่อนถูกส่งตัวกลับไทยในเดือน พ.ย.2566“ตอนนั้นดีใจมากเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จึงอยากฝากถึงคนไทยไม่ควรเชื่อคำพูดผู้โอ้อวดชวนไปทำงานเงินเดือนสูงในต่างประเทศ สิ่งนี้ล้วนหว่านล้อมหลอกคนอยากได้เงินไปทำงานค้าประเวณี ดังนั้นควรไตร่ตรองดูให้ดี มิเช่นนั้นอาจถูกหลอกลวงให้ไปทำงานอย่างที่เราไม่ได้สมัครใจทำก็ได้” เหยื่อเคยถูกหลอกค้าประเวณีว่าอีกรายเป็น “คนภาคอีสาน อายุ 28 ปี” ถูกหลอกบังคับค้าประเวณีอยู่ที่สถานบันเทิง เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา อันมีจุดเริ่มต้นในช่วงปี 2566 “เข้ามาทำงานเป็นเซลส์ขายรถยนต์อยู่ที่กรุงเทพฯ” แล้วเพื่อนชวนไปเที่ยว อ.แม่สอด จ.ตาก จึงได้รู้จักกับชาวจีน “แลกคอนแทกต์กัน” ก่อนที่ตัวเองจะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯในระหว่างนี้คนจีนก็ติดต่อพูดคุยมาเป็นระยะ “แล้วก็บอกว่ากำลังจะเปิดสถานบันเทิงใน จ.ตาก” จึงชักชวนให้มาทำงานพีอาร์ และเอนเตอร์เทนคอยชงเหล้า ร้องเพลง กินเหล้ากับลูกค้าชาวจีน “โดยจะมีรายได้ 10 วันประมาณ 3–4 หมื่นบาท” ถ้ารวมค่าทิปแขก และค่าดื่มจะมีรายได้เฉลี่ย 1-2 แสนบาท/เดือนกระทั่งช่วงปลายเดือน ธ.ค.2566 “ตัดสินใจลาออกจากงาน” เดินทางไปคนเดียวด้วยรถโดยสารมุ่งหน้า บขส.แม่สอด “หวังทำงานรายได้ดี” จากนั้นก็มีคนมารับเดินทางไปในหมู่บ้านเปลี่ยนรถ 3 รอบ “ตอนนี้เริ่มสงสัยแต่ไม่กล้าถามใคร” สุดท้ายพานั่งเรือข้ามแม่น้ำโดยไม่รู้ว่าข้ามไปยังประเทศเมียนมาแล้วเมื่อเดินทางถึงที่หมาย “คนมารับไปร้านคาราโอเกะ” จึงรู้ว่าข้ามมายังฝั่งเมียนมาแล้ว เพราะเห็นผู้ชายแต่งกายชุดดำถือปืนเต็มไปหมด “เริ่มรู้สึกตกใจกลัว” ก่อนที่ผู้ดูแลร้านเป็นผู้หญิงจีนที่เรียกว่า “มาม่าซัง” แจ้งให้ไปทำงานพีอาร์เอนเตอร์เทนลูกค้าในช่วงแรกๆ “ยังไม่บังคับค้าประเวณี” โดยทำงาน 10 วัน ก็ได้เงินถึง 3-4 หมื่นบาททำให้เห็นว่า “รายได้ดี” ก็ชักชวนเพื่อนสนิทมาทำงานด้วยกัน แต่พอมาวันที่ 10 ม.ค.2567 “มาม่าซัง” คัดเกรดเด็กหน้าตาดีไปทำงานเอนเตอร์เทน KTV “ตัวเองกับเพื่อนไม่สวย” ถูกบังคับให้ค้าประเวณีโดยตรง “เรา 2 คนไม่ยอมขายตัว” จึงถูกขายต่อไปร้านคาราโอเกะแห่งใหม่ “บอสเป็นผู้ชายชาวจีน” ก็บังคับให้เซ็นสัญญาเป็นหนี้อันเป็นค่าตัวถูกซื้อมารวมกัน 260,000 บาท “ถูกบังคับให้ค้าประเวณีใช้หนี้” ถ้าไม่ทำก็จะถูกทำร้ายเลยต้องยอมรับลูกค้าทั้งที่ไม่อยากทำ “แถมไม่เคยได้เงิน และยอดหนี้ก็ไม่ลด” ต้องทนทุกข์ทรมานสุดจะทน ร้ายกว่านั้นบางครั้งต้องเจอกับ “ลูกค้าซาดิสต์” ถูกทำร้ายร่างกาย ตบตี บอบช้ำทั้งตัวก็ต้องยอมทน ซึ่งทางร้านก็ไม่ช่วยอะไรเลย “ยิ่งลูกค้าไม่พอใจไม่จ่ายเงิน” ทางร้านก็มักจะมาต่อว่าดุด่า และให้เป็นหนี้เพิ่มอีกด้วยทำให้พยายามจะหนี “แต่กลัวถูกจับได้” เพราะเคยถูกขู่จะถูกทำร้าย หรือถูกยิงทิ้ง จนมาวันหนึ่งมีคนแจ้งบอสจีนว่า “เราสองคนแจ้งตำรวจให้มาช่วย” เลยถูกยึดโทรศัพท์แต่โชคดีแอบซ่อนไว้ในถังขยะ 1 เครื่องต่อมาในวันที่ 11 ก.พ.2567 “บอสคนจีน” แจ้งว่าจะขายเราให้กับร้านคาราโอเกะแห่งใหม่ ทำให้ออกอุบายว่าทางญาติกำลังหาเงินมาไถ่ตัว “เพื่อยื้อเวลา” ก่อนตัดสินใจขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นก็รับการประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ จ.ตาก เข้ามาช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัยนี่เป็นอุทาหรณ์เตือนภัย “คนไทย” อย่าคิดเพียงอยากทำงานสบายรายได้ดีแต่ควรต้องพึงระวังอย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ “งานสบายรายได้ดีในต่างประเทศไม่มีจริง” ผู้แอบอ้างล้วนหลอกลวงเพื่อนำไปสู่ “การบังคับค้าประเวณี” กลายเป็นทำงานใช้หนี้ ถูกทำร้าย เงินก็ไม่ได้เหมือนตกนรกทั้งเป็น...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม