ห้วงเวลานี้ถือเป็นช่วงที่เหล่า “นักการทูต” ในประเทศต่างๆ อาจต้องแบกรับภาระหนัก เนื่องด้วยเหล่า “นักการเมือง” ที่เข้ามากำหนดทิศทางของชาติบ้านเมือง มีแนวโน้มในการสร้างความวุ่นวายจึงเป็นโอกาสอันดีที่ทีมข่าวต่างประเทศหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เข้าสัมภาษณ์ “เยฟกินี โทมิคิน” เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ในฐานะดำรงตำแหน่ง “คณบดีคณะทูตต่างชาติ” (Dean of the Diplomatic Corps) คนปัจจุบัน มีลำดับอาวุโสประจำการอยู่ในเมืองไทยยาวนานที่สุด พร้อมด้วยในวันที่ 10 ก.พ.นี้ จะเป็นวันที่ประเทศรัสเซียยกย่องบทบาทและความสำคัญของนักการทูตเป็นเวลากว่า 20 ปี แล้วที่คนรัสเซียให้ความสำคัญกับอาชีพนี้ มีการจัดงานในโรงเรียนต่างๆ รวมถึงโรงเรียนของสถานทูตรัสเซียในประเทศไทย เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวให้แก่คนรุ่นหลัง กระตุ้นให้เกิดนักการทูตรุ่นใหม่ๆ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก ลาฟรอฟ ก็กำลังเตรียมการที่จะมานั่ง “ทบทวน” ว่าในช่วงปีที่ผ่านมา มีอะไรที่สัมฤทธิผล มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไข หรือลองแนวทางใหม่ๆสำหรับประเทศไทยนั้น ปี 2567 ถือเป็นปีที่ความสัมพันธ์การทูตกับรัสเซียเจริญงอกงาม โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เรามีโปรเจกต์ในเรื่องการแลกเปลี่ยนหนังสือต่างๆ รวมถึงพิจารณาความเป็นไปได้เรื่องการนำบันทึกประวัติศาสตร์จากหอสมุดแห่งชาติของไทย ไปสนับสนุนเรื่องงานวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ การขยายการจัดงานโปรโมตวัฒนธรรมรัสเซียในไทย หรือการนำวัฒนธรรมประเพณีไทยไปโปรโมตที่รัสเซีย เหมือนกับที่เราโปรโมตตรุษจีนต่อเนื่องเป็นปีที่สอง อาจจะลอง “สงกรานต์” ก็ได้ใครจะไปรู้การท่องเที่ยวนี่แทบไม่ต้องเป็นห่วง มีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างช่วงโลว์ซีซันยังมีนักท่องเที่ยวจากรัสเซียเดินทางมาประเทศมากกว่า 70,000 คน “ต่อเดือน” ซึ่งตัวเลขนี้ถือเป็นจำนวนที่ชาวรัสเซียไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของไทย “ต่อปี” ช่วงไฮซีซันถือว่าทะลุ 200,000 คนต่อเดือน และทำให้ตัวเลมาไทยทั้งปีอยู่ที่กว่า 1.6 ล้านคน ส่วนนักท่องเที่ยวไทยขอย้ำว่าไม่ต้องกังวลเรื่องความหนาว เพราะการไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆจะทำให้คุณไปอยู่ในอาคาร หรือถ้าสนใจเปลี่ยนบรรยากาศเอาต์ดอร์ เรามีลานสกีธรรมชาติเป็นจำนวนมาก อย่างที่โด่งดังในเมือง “โซชี” ทางภาคใต้ของรัสเซีย เนื้อหิมะละเอียดคล้ายๆกับของฮอกไกโดวกกลับไปยังสถานการณ์โลก เข้าใจดีว่าตอนนี้สื่อมวลชนกำลังสนใจเรื่องของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชอบใจที่พวกคุณใช้คำว่าสำนักข่าวทรัมป์รายวัน อย่างแรกขอตั้งคำถามก่อนว่า ที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ ประกาศจะยุติสงคราม “ภายใน 24 ชั่วโมง” นั้น จะให้เริ่มนับจากวันไหนตอนไหน เรื่องนี้ยังไม่มีใครทราบรัสเซียกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดว่า “สหภาพยุโรป” จะมีความเคลื่อนไหวเช่นไร เนื่องด้วยก่อนที่จะมีการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ เห็นได้ชัดว่านักการเมืองจำนวนมากเคยแสดงจุดยืนกันเอาไว้ว่าไม่ยอมรับทรัมป์ ตอนนี้เลยอยู่ในสภาพช็อกทำอะไรกันไม่ถูก ไม่รวมถึงเรื่องที่ตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯเอง ก็ทำให้ตั้งตัวไม่ทัน วันหนึ่งแสดงท่าทีไม่เอาองค์การอนามัยโลก มาอีกวันหนึ่งถอนตัวจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติคุณค่าของกลุ่มประเทศที่มี “อารยะ” หายไปอยู่ที่ไหนแต่ก็อย่างว่าที่การเมืองระยะหลังชอบทำตัวกันในลักษณะว่า “อะไรก็เป็นไปได้” ไม่มีขอบเขต ขีดจำกัด หรือสิ่งที่ไม่ควรล้ำเส้นแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอนไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมขึ้นอยู่กับการ “ตัดสินใจ” และพร้อมที่จะรับกับ “ผลลัพธ์” ที่ตามมา ที่ต้องมาเจ็บปวดกันควรย้อนกลับไปดูกันสักนิดว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป ก่อนจะมากล่าวโทษนู่นนี่เอาเข้าจริงการทูตแบบรัสเซียมีความอนุรักษนิยมสูง เราเชื่อมั่นในเรื่องการมอบความปรารถนาดี และการใช้กลไกการทูตแบบพื้นฐาน ลงนามข้อตกลง ประสานงานผ่านองค์การความร่วมมือในระดับสากล แต่ในขณะเดียวกัน รัสเซียหรือประเทศใดๆก็มี “เส้นทาง” ของตัวเอง การหาจุดร่วมให้ได้ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ สำหรับเรื่องการสร้าง “สันติภาพ” ไม่ใช่ประเด็นที่จะมาพูดกันลอยๆ ต้องถือเป็นเรื่องจริงจัง และตั้งใจที่จะช่วยกัน “หาทางออก” อย่าหลงอยู่ในภาพลวงตาในอดีตว่า ตัวเองเคยยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น อย่างในอดีตยุคมหาสงครามเรายังสามารถบรรลุจิตวิญญาณทางการทูต ปูเส้นทางสู่สันติภาพผ่านการประชุมสุดยอด “ยัลตา” ซึ่งมีกำหนดครบรอบ 80 ปี ไปเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมาถามมุมมองจากประสบการณ์ว่า จะมีคำแนะนำเช่นไรในสถานการณ์ที่ต้องพูดคุยกับคนที่ดีลด้วยยากหรือมีทัศนคติด้านลบ เอกอัครราชทูตมองว่า สิ่งสำคัญคือการสื่อสาร “ได้พูดและได้รับฟัง” เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำความเข้าใจสถานการณ์ของกันและกัน ก่อนหน้านี้เคยคุยกับ สส.ไทยพบว่ามีมุมมองด่วนสรุป แต่หลังจากหารือกันหลายครั้งก็เกิดความเข้าใจกัน มองภาพใหญ่และให้น้ำหนักไปที่ผลประโยชน์ของการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีมีคนที่หลีกเลี่ยงสื่อสารกับรัสเซียโดยเฉพาะกลุ่มนักการทูตชาติตะวันตก เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟังว่าบางคนก็คุยกันปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายไม่ได้รู้สึกร้อนใจหรือวิตกกังวล ถ้าอยากจะกลับมาสื่อสารกับรัสเซียก็ยินดี ไม่มีปัญหา เราไม่มีข้อจำกัด จะมาตอนไหนมื้อเช้า ชากาแฟ มื้อเย็น หรือวอดก้าได้หมดเพราะมองว่าการไม่คุยไม่รับฟัง คือการตัดโอกาสของตัวเอง ทำให้ตัวเองไม่มีข้อมูลจากรัสเซีย แต่นั่นแหละครับ มันไม่ใช่ปัญหาของรัสเซียเลย ทั้งหมดเป็นแนวทางที่เลือกกันเอง ตีกรอบกันเอง และสร้างขีดจำกัดให้ตัวเอง เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ.ทีมข่าวต่างประเทศอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม