แม้จะดูล่าช้าไปบ้าง แต่วันนี้กลไกของภาครัฐเริ่มขยับออกมาตรการรับมือกับปัญหาฝุ่นควันพิษ หรือ PM 2.5 อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหารุนแรงส่อวิกฤติ เช่นในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดัชนีคุณภาพอากาศ AQI ปริมาณฝุ่นบ่งชี้ในทางลบมีผลต่อสุขภาพประชาชนในระดับสีส้ม สีแดง หลายพื้นที่กรุงเทพมหานครประกาศขอความร่วมมือ โดยใช้มาตรการ 3 ยาแรง 3 ห้าม คือ ห้ามเรียน หยุดการเรียนการสอนชั่วคราว ห้ามทำงาน ให้ใช้รูปแบบทำงานจากที่บ้าน เวิร์กฟรอมโฮมมากขึ้น รวมทั้งเตรียมห้ามรถ ควบคุมรถบรรทุกเข้าพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน โดยทั้งหมดอาจยกระดับยืดเวลามาตรการ หากสถานการณ์ PM 2.5 ยังไม่ดีขึ้นขณะที่หลายหน่วยงานก็เตรียมใช้มาตรการลดปัญหา หยุดแหล่งกำเนิดฝุ่นควันมลพิษ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม ออกตรวจโรงงาน ผู้ประกอบการ การก่อสร้าง ควบคุมการเผาไร่อ้อย โดยมีมาตรการชดเชยจูงใจการตัดอ้อยสด ส่วนกรมการขนส่งทางบก และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกตั้งจุดตรวจรถยนต์ควันดำจากท่อไอเสียกระทรวงเกษตรฯ เร่งรณรงค์ควบคุมการเผาเรือกสวนไร่นาฤดูกาลเก็บเกี่ยว และเตรียมเพาะปลูกใหม่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เร่งสำรวจพื้นที่จัดทำแนวกันไฟ รับไฟป่าทั้งจากธรรมชาติ และการเผาโดยมนุษย์ รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย สั่งการจังหวัดในพื้นที่เสี่ยง เตรียมแนวทางพร้อมรับมือมลพิษทางอากาศแน่นอนแม้จะเห็นความตื่นตัว แต่โดยภาพรวมมาตรการต่างๆก็ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา วิกฤติฝุ่นควันพิษกว่า 10 ปี วนเวียนซ้ำซากปัญหาเก่าซ้ำเดิม จนถูกเรียกว่างานประจำหน่วยงาน กลไกการทำงานของหน่วยงานต่างๆยังเหมือนต่างคนต่างทำไม่สอดประสาน ทำให้การแก้ปัญหาทั้งเร่งด่วนและระยะยาวไม่มีวี่แววสัมฤทธิผลที่ผ่านมามีการพูดถึงร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่อยู่ในกระบวนการสภาฯยกเป็นยาครอบจักรวาล แต่เมื่อกฎหมายยังไม่ออกมา จึงเป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องใช้กฎเกณฑ์กติกาและกลไกเท่าที่มีอยู่ทำงาน ขณะเดียวกันก็ต้องปรับปรุงกฎเกณฑ์กติกาต่างๆที่มีอยู่ในขณะนี้ให้สอดคล้องกัน พร้อมรองรับกฎหมายใหม่เหนืออื่นใดมีข้อเสนอจากนักวิชาการให้ยกระดับคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แห่งชาติ เป็นคณะกรรมการระดับชาติ มีนายกฯเป็นประธานประสานความร่วมมือ แก้ข้อติดขัดซ้ำซ้อนกฎหมาย กลไกทำงาน และงบประมาณ รัฐบาลจึงควรนำไปพิจารณาเพื่อจัดการวิกฤติมลพิษเร่งด่วน บรรเทาปัญหา ทุเลาภาพจำฤดูฝุ่นพิษประเทศไทย.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม