“เด็ก” และ “เยาวชน” ก็คือบุคลากร ที่สำคัญของชาติบ้านเมืองในทุกๆประเทศทั่วโลก สิ่งหนึ่งที่เป็นประเด็นของพลเมืองแห่งรัฐก็คือทุกวันนี้เด็กเกิดลดลง...ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การดูแลคุณภาพชีวิตของเด็ก การปกป้องคุ้มครองในสิทธิของเขาเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกรณีเหตุสลดไฟไหม้รถทัวร์ทัศนศึกษา ถนนวิภาวดีขาเข้า เฉลิมพล พลมุข ประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ บอกว่า เหตุการณ์อุบัติเหตุเจ็บตายทางถนนลักษณะนี้มิใช่ครั้งแรกของสังคมไทยเราที่ผ่านมาก็มีเกิดขึ้นความสูญเสียบางสถานการณ์มิน่าจะเกิดขึ้นกับคนในประเทศทุกๆคน เหตุใด...อะไร ที่รัฐ...รัฐบาล...เจ้าหน้าที่รัฐ ภาคเอกชนที่ต้องรับผิดชอบถึงระดับความปลอดภัยแห่งชีวิต จึงมีการปล่อยปละละเลย?ครั้งคราใดที่มีการสูญเสียเด็กเล็กๆผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาการแสดงออกถึงความสูญเสียในบริบทต่างๆตามมา สิ่งหนึ่งที่เราท่านมักจะรับรู้อย่างเสมอมาก็คือ คาดหวังว่า...เหตุการณ์นี้จักเป็นครั้งสุดท้ายสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สะท้อนตัวเลขคนเกิดตายในเมืองไทยจนถึงเดือนตุลาคม 2566 ระบุว่า มีเด็กเกิดใหม่ 433,050 คนและมีคนตาย 472,546 คน ข้อสังเกตหนึ่งก็คือขณะนี้สังคมไทยเราคนตายมากกว่าคนเกิด ในโรงพยาบาลต่างๆมีคนเจ็บป่วย...แก่ชราตายทุกๆวันศาลาวัดในการทำพิธีศพมีจำนวนศพที่พระต้องสวดพระอภิธรรมทุกวันเช่นกัน เมื่อเด็กเกิดน้อยลง โรงเรียนต่างๆมีเด็กเข้าเรียนน้อยลงโดยเฉพาะในต่างจังหวัด มหาวิทยาลัยมีที่นั่งสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าเรียนจนกระทั่งมีนโยบายลดแลกแจกแถมเพื่อให้เข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ทว่า...นักศึกษาไทยจบออกมาไม่มีงานทำ “ขณะเดียวกันชาวต่างชาติรอบๆเมืองไทยเรามีแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในเมืองไทยมากขึ้น เขาเหล่านั้นมีชีวิตที่อยู่ดีมีสุข? ลูกชาว ต่างชาติบางคนเกิดในเมืองไทย...รับรัฐสวัสดิการจากภาษีของเราท่านทั้งหลายและหลายคนก็ยอมที่จะตายในแผ่นดินไทย...” เฉลิมพล ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ในจำนวน 279 มาตรา โดยเฉพาะมาตรา 54 วรรคสองที่ระบุถึงรัฐต้องดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหนึ่งเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม สติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย...พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 7 ให้มีคณะ กรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ประกอบด้วย รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของรัฐเป็นประธาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ อธิบดีกรมสุขภาพจิต อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ผอ.สนง.ส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็กฯ ครู จิตวิทยา กฎหมาย แพทย์ ผู้แทนจากภาคเอกชน...ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก รวมถึงกฎหมายอื่นๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตเด็กในจำนวนที่หลากหลาย เมื่อดูสาระหรือเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้วให้การคุ้มครองที่ครอบคลุม รวมถึงบทบัญญัติแห่งการลงโทษที่มีความชัดเจน คำถามสำคัญหนึ่งจากประชาชนชาวบ้าน พ่อแม่ผู้ปกครองที่สูญเสียชีวิตเด็กๆในครอบครัวควรได้รับการคุ้มครองเยียวยาชีวิตที่ต้องสูญเสียไปอย่างมิมีวันกลับมาอีก อย่างคุ้มค่าต่อชีวิตหรือไม่ อย่างไร...?ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ถูกนำเสนอในสื่อต่างๆก็คือผู้ประกอบการรถยนต์หรือรถทัวร์ชนิดท่องเที่ยวที่เป็นรถยนต์ขนาดใหญ่ มีมาตรฐานทั้งระบบต่อชีวิตผู้โดยสารในรถหรือไม่?...ระบบการจดทะเบียน ต่อภาษี ตรวจสภาพรถ หรือมาตรฐานอื่นๆมีการปล่อยปละละเลย รวมถึงมาตรการอื่นๆจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ...เอกชนหรือเปล่า?อาจจักรวมไปถึงการดำเนินคดีการลงโทษด้านกฎหมายของบ้านเมือง เพื่อนำไปสู่การคุ้มครองชีวิตของเด็กรวมถึงประชาชนทั่วไปด้วยในอนาคต จักเกิดขึ้นใน “รัฐบาล” นี้ได้หรือไม่ อย่างไร...? บันทึกไว้ว่า...ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมเรื่องความปลอดภัยทางถนนถึงเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายเพื่อความปลอดภัยทางถนน กฎหมายหลายฉบับไม่ทันสมัย ต้องปรับแก้การบังคับใช้กฎหมายรวมถึงมาตรฐานของรถทัวร์อุปกรณ์และทางออกของผู้โดยสารเหมือนเครื่องบิน...จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอมติที่ประชุมถึงการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหายกระดับรถโดยสารสาธารณะอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วัน มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกเรียกตรวจสภาพรถโดยสารติดตั้งก๊าซ NGV ทั้งสิ้น 13,426 คัน รถบัสจ้างเหมา 1,336 คัน รถบัสประจำทาง 5,967 คัน รถตู้–รถมินิบัส 6,123 คัน หากพบว่า...มีสภาพไม่พร้อมใช้งาน สั่งห้ามนำรถออกใช้งานสังคมคงต้องจับตาดูนโยบายข้างต้นนี้จะถูกนำไปใช้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อมิให้ความตาย เหตุเศร้าสลดใจเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่...?น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์ สว. ได้มอบกลอนบทหนึ่งต่อกรณีดังกล่าวคือ “ขอน้อมส่งเด็กน้อยน้อยไปบนฟ้า ขอกล่าวลาลูกลูกวัยสดใส ขอความสุขทุกที่ที่หนูไป เดินทางไกลคราวนี้ให้ร่มเย็น ไม่มีเจ็บไม่มีปวดแล้วลูกจ๋า ห้องเรียนคงว่างเปล่ากว่าเคยเห็น บ้านคงเงียบวังเวงกว่าเคยเป็น ทุกเช้าเย็นเสียงร่ำไห้แทบขาดใจ....ครูกอดกันกั้นเด็กเป็นกำแพงมนุษย์ สิ่งท้ายสุดที่เรารับรู้ได้คือ คุณครูปกป้องศิษย์ด้วยหัวใจ ขอกราบไหว้คารวะจิตวิญญาณ ขอสดุดีคุณครูผู้เสียสละ แบกภาระการดูแลศิษย์ของท่าน ทำหน้าที่สมเกียรติจนวายปราณ ขอกราบกรานยกมือวันทาครู ขอน้อมส่งทุกชีวิตที่ปลิดสิ้น เสียงร่ำไห้ที่ได้ยินยังก้องหู ขอให้ลูกนักเรียนและคุณครู เดินทางสู่สัมปรายภพอันงดงาม...”บทเรียนอุบัติเหตุที่เกิด...ความสูญเสียเช่นนี้ คงไม่มีใครอยากให้เกิดซ้ำขึ้นมาอีก.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม