ความเชื่อที่งดงามต่อสัญญะ “ช้างชูงวง” มีลักษณะเป็น “ต้นแบบ–ต้นเค้า” ที่ฝังรากลึกในเชิงโครงสร้างอุดมการณ์ จนกลายเป็น “รหัสทางวัฒนธรรมของภูมิปัญญาตะวันออก” สืบทอดยาวนานเกินสองพันปี(ตอนหนึ่ง ในบทที่ 44 มหากาพย์ชนชาติไท “เต้าตามไต เต้าทางไท ชลธิรา สัตยาวัฒนา ทางอีศาน พิมพ์ ธ.ค.2566)ดังการพบศิลปวัตถุสำริดรูปช้างชูงวง ลายเต้าตี ที่สวยงาม สง่า คงทน เป็นภาชนะบรรจุเหล้า ใช้ในพิธีกรรมสำคัญของราชสำนักซาง (สาง-ช้าง-ซ้าง) และราชสำนักโจวรหัสนัยช้างชูงวงน่าจะพัฒนาสูงสุดในแว่นแคว้นของชาวไป่เยวี่ยในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกทางการจีนเรียกงานสร้างสรรค์ศิลปะสำริดที่ใช้บรรจุเหล้าว่า “ซุ่น-จุน”รูปสัญญะสมบูรณ์แบบเช่นนี้ มีความหมายสำคัญเป็นแนวคิดเชิงอุดมการณ์ที่มีบทบาททางวาทกรรม นำเสนอและตอกย้ำความคิดการสืบทอด “ด้ำช้าง” การสืบสายราชสกุลช้างและยืนยันชัยชนะ อำนาจ เดช บารมี ของราชวงศ์ที่ถูกรูปช้าง เป็นต้นด้ำบรรพชนในอุษาคเนย์ มีเขตอำนาจรัฐที่ใช้ช้างเป็นพาหนะในการเดินทางบรรทุกสัมภาระใช้แทนแรงงานคน เช่นลากซุงและใช้ในการศึกการชนช้างเป็นวัฒนธรรมการศึกของพม่า ไท ลาว ไทย กัมพูชา และชนพื้นเมืองชุดความรู้ใหม่ อาจารย์ชลธิราตั้งใจนำเสนอช้างชูงวง เป็นชื่อกลบทในทำเนียบวรรณคดีไทย (สยาม)กลบทศิริวิบุลกิตติ์ ผลงานหลวงศรีปรีชา (เซ่ง) กวีราชสำนัก แห่งกรุงศรีอยุธยา (ปลาย) ท่านได้นำเรื่องราวในปัญญาสชาดก (ชาดกนอกพระไตรปิฎก) เล่าเรื่องศิริวิบุลกิตติ์ชาดก ในรูปแบบกลอักษรและกลกลอนชุดประมวลกลบท 76 รายการ กลบทช้างชูงวงอยู่ในลำดับที่ 41 รวมกลบทแบบแผนอื่นๆอีก 9 เป็น 85ตัวอย่างกลอนกลบทช้างชูงวง สำนวนหลวงศรีปรีชา (เซ่ง)“จักยกย่องสองหัตถ์น้อมพร้อมใจใจแจ้ว เปิดห้องแก้วแล้วจักก้องสร้องเสียงใส สาธุการบานบันเทิงเริงจิตรใจ แม้นตายไปไวได้เกิดเลิศวิมานฯ”พิจารณาแบบแผนโดยรวม อาจารย์ชลธิราเห็นว่า กลอนแปดทั่วไปที่นิยมแต่งกัน ให้มีสัมผัสในทั้งสัมผัสสระ พยัญชนะ ส่งและรับสัมผัส ถ่ายทั้งรูปคำและเสียงภายในคำในต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้นน่าจะเป็นต้นเค้า คือแบบแผนก่ายคำ และลงจังหวะคำ จากกลบทช้างชูงวง ซึ่งต้นแบบมีวรรคละเก้าคำ กวีรุ่นหลังนำมาใช้ แต่มักลดจำนวนคำในวรรคเหลือ 8 คำ เป็นส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่ากลอนแปดปัจจุบันก็ยึดหลักเดียวกัน โดยไม่ต้องถือว่าเป็นกลบทแล้วเป็นที่น่าสังเกต กลบทช้างชูงวง (กลอนเก้า) มีที่มาจากสมัยอยุธยา ปรากฏเฉพาะในชุดศิริวิบุลกิตติ์เท่านั้นเมื่อมาถึงสมัย ร.3 กรุงรัตนโกสินทร์ มีจารึกกลบทชนิดต่างๆที่วัดโพธิ์ ไม่ปรากฏมีแบบแผนกลบทช้างชูงวง คงเป็นเพราะลีลาท่วงทำนองและจังหวะจะโคนแบบช้างชูงวง กลายเป็นความนิยมทั่วไปยิ่งไปกว่านั้นยังมีกวีเอกสุนทรภู่รับไปสืบทอด ส่วนใหญ่ท่านลดจำนวนคำให้กระชับขึ้นเหลือเพียง 8 คำแต่การส่งรับสัมผัสทั้งรูปคำเสียงคำนั้นพริ้งพราว จังหวะจะโคนลงตัวไพเราะเป็นพิเศษ จนกลายเป็นกลอนชาวบ้านเหนือกว่าต้นแบบหลายเท่าตัวอย่าง “ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนั้นประจำทุกค่ำคืน”ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้สุนทรภู่ อ่านถึงตรงนี้ก็คงจะเพิ่งรู้กลอนแปดที่เราอ่านๆเราเขียนๆกันมา แท้จริงเป็นกลอนกลบทช้างชูงวง เราเป็นคนไทยส่วนหนึ่งที่กำลังสืบสานรหัสวัฒนธรรม สายบรรพชน ต้นด้ำช้างมาโดยไม่รู้ตัว.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม