นับเป็นกระแสที่ยังอยู่ในความสนใจของสังคม “การระบาดปลาหมอคางดำ” ที่กำลังลุกลามแพร่กระจายตามแหล่งน้ำธรรมชาติ 17 จังหวัด และบางส่วนหลุดรอดลงแหล่งเพาะเลี้ยงกุ้ง ปลา ปู ไล่ล่ากินจนเกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร และชาวประมงต้องยุติประกอบอาชีพไปทำอย่างอื่นแทนท่ามกลางการระบาดนี้ “สังคม” มุ่งตั้งข้อสงสัยจุดเริ่มต้นการระบาดยัง “ศูนย์ทดลอง” ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงครามโดยในปี 2553 “บริษัทเอกชน” นำเข้าลูกปลาหมอคางดำ 2,000 ตัว จากประเทศกานาใช้เวลาเดินทาง 35 ชม. แล้วลูกปลาตาย คัดแยกเหลือรอด 600 ตัวก่อนนำลูกปลามีชีวิตลงบ่อเลี้ยง ทยอยตายจนเหลือ 50 ตัวทำให้บริษัทเอกชนตัดสินใจยกเลิกโครงการ ทำลายลูกปลาทั้งหมดนำฝังกลบโรยปูนขาวไปแล้วก่อนที่ไม่นานนี้ “ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ” จัดเสวนาเรื่องหายนะสิ่งแวดล้อม กรณีปลาหมอคางดำ : การชดเชยเยียวยาความเสียหายฟื้นฟูระบบนิเวศและปฏิรูประบบความปลอดภัยทางชีวภาพได้นำข้อมูล และภาพต่างๆที่ถูกอ้างเป็นสถานที่ในฟาร์มยี่สารมาเปิดเผยต่อสาธารณชนโต้ข้อมูลดังกล่าวอีกแง่มุมตามที่เป็นข่าวในประเด็นการระบาดปลาหมอคางดำ “ทีมข่าวสกู๊ป” ได้ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ส.ค.2567 “สำนักสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรือ CPF” ส่งจดหมายเอกสารชี้แจงกรณีนำเข้าปลาหมอคางดำตามสกู๊ปหน้า 1 นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 6 ส.ค.2567 ได้นำเสนอเรื่อง “หลักฐานปลาหมอระบาด เชื่อมโยงต้นกำเนิดปัญหา” ซึ่งใช้ข้อมูลจากกลุ่ม NGO ที่บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการขั้นต่อไป หลังพบการใช้ภาพเท็จ-ข้อมูลเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริงนำมาซึ่งความเสียหายต่อชื่อเสียงขององค์กรดังที่บริษัทได้แถลงต่อสาธารณะไปตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.2567 แล้วนั้นเหตุนี้การนำเสนอข้อมูลดังกล่าว “คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง” โดยเฉพาะเนื้อหาเอกชนผู้ขออนุญาตนำเข้าลูกปลาถูกต้องเพียงรายเดียวนั้นเป็นต้นตอปัญหาการแพร่กระจายปลาหมอคางดำ “เป็นข้อมูลเท็จ” เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สาธารณชน กอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรซีพีเอฟ ชี้แจงว่าในช่วงที่ผ่านมาและในวันที่ 26 ก.ค.2567 มีการใช้รูปภาพ และข้อมูลประกอบการสื่อสารบนเวทีสาธารณะที่เป็นเท็จ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท โดยมีตัวอย่างภาพเท็จ และข้อมูลเท็จบางส่วนดังนี้ ภาพแรก... “เป็นภาพสร้างความเข้าใจผิด และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก” เป็นการกล่าวอ้างว่าเป็นสภาพบ่อดินของฟาร์มยี่สารซึ่งใช้เพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำปี 2554-2557 และกล่าวอ้างว่าเลี้ยงต่อเนื่องที่ฟาร์มยี่สารตั้งแต่ 2553-2560 ซึ่งขอชี้แจงว่าเป็นการใช้ภาพ และข้อมูลเท็จเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ฟาร์มยี่สาร และหลังจากการตัดสินใจไม่เริ่มดำเนินโครงการ และยุติการวิจัยเมื่อต้นเดือน ม.ค.2554 “ได้ทำลายลูกปลาทั้งหมดแล้ว” บริษัทไม่มีกิจกรรมใดๆเกี่ยวกับปลานี้อีกเลย ดังนั้นการอ้างว่ามีการเลี้ยงต่อเนื่องถึงปี 2560 จึงเป็นข้อมูลเท็จเสมือนการโกหกที่สร้างความเข้าใจผิดเชิงลบในสังคมต่อองค์กรถัดมาภาพที่สอง...“เป็นภาพที่กล่าวอ้างการคัดเลือกไข่ปลาหมอคางดำ” เพื่อนำไปขยายพันธุ์ และผสมพันธุ์แล้วนำไปอนุบาลในกระชังในฟาร์มยี่สาร ความเป็นจริงแล้วสถานที่นี้ไม่ใช่ฟาร์มยี่สาร และกิจกรรมดังปรากฏในภาพนี้ ไม่ใช่กระบวนการคัดเลือกไข่ปลาตามวิธีปฏิบัติของบริษัทภาพสุดท้าย...“เป็นภาพถ่ายทางอากาศของบริเวณฟาร์ม” โดยมีการระบุผังของฟาร์มซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จ กล่าวคือ “กรอบสีแดง” ไม่ใช่บ่อเลี้ยงปลาตามที่กล่าวอ้าง แต่ความเป็นจริงเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งขณะที่กรอบสีเหลืองที่ระบุว่า “เป็นบ่อผสมพันธุ์ปลา และบ่ออนุบาลปลา” ตามที่กล่าวอ้างนั้นความจริงคือเป็นบ่อปรับปรุงพันธุ์ปลานิล ปลาทับทิม และปลาทะเล นอกจากรูปภาพที่บิดเบือนบางส่วนที่นำมาแสดงในวันนี้ “บริษัทอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อความบิดเบือนอื่นๆ” เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป โดยผู้ที่ให้รูปและข้อมูลที่เป็นเท็จบิดเบือนข้อเท็จจริงควรต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ร่วมกับผู้ที่ใช้ข้อมูล และรูปภาพดังกล่าวในการสื่อสารในเวทีสาธารณะต่างๆด้วยอย่างไรก็ตาม บริษัทเห็นด้วยว่า“ควรมีกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางสังคมเพิ่มเติมในเรื่องนี้” เนื่องจากมีหลายบริษัทที่ซีพีเอฟไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กลับมีกิจกรรมค้าขายปลาชนิดนี้ในช่วงที่ผ่านมาจึงขอให้สังคมให้ความเป็นธรรม และควรมีการสอบหาเหตุอื่นๆเพิ่มเติมด้วย เพื่อนำข้อเท็จจริงมาร่วมกันพิจารณาหาแนวทางร่วมมือแก้ไขปัญหา ตลอดจนหาแนวทางป้องกันการแพร่กระจายในระยะยาวส่วนสำหรับ “โครงการความร่วมมือสนับสนุนการแก้ปัญหา 5 โครงการนั้น” มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งร่วมมือสนับสนุนกรมประมงที่มีกิจกรรมการจับปลา และปล่อยลูกปลากะพง พบว่า บางพื้นที่มีปริมาณปลาลดลงอย่างมาก ล่าสุดได้เข้าร่วมกิจกรรมจับปลา และมอบปลากะพงเพิ่มเติมกับประมง จ.สมุทรสงครามนอกจากนั้นยังได้รับการติดต่อแสดงความจำนงจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอีก 2-3 แห่ง ในการร่วมมือการทำวิจัย ทั้งการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร และการวิจัย เพื่อหาแนวทางควบคุมประชากรปลาในระยะยาวย้ำทิ้งท้ายว่า “บริษัทยินดีให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ในการสอบหาข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงอย่างสุจริต ขณะเดียวกันต้องขอปกป้องชื่อเสียงองค์กรจากการใช้ข้อมูล และหรือรูปภาพกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้สังคมเข้าใจผิดดังนั้น “ผู้ที่ให้ข้อมูล และหรือรูปภาพเหล่านั้น” รวมทั้งผู้ที่ใช้ข้อมูล และรูปภาพดังกล่าว ประกอบความคิดเห็นบนเวทีสาธารณะหรือสื่อต่างๆ “ควรรับผิดชอบ” ในการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น โดยจะพิจารณาแนวทางการดำเนินการตามกฎหมายต่อไปนี่ก็เป็นอีกแง่มุมของข้อชี้แจงจาก “บริษัทเอกชน” ที่งัดนำ หลักฐานข้อมูล และภาพถ่ายออกมาเปรียบเทียบโต้แย้งเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้ปลาหมอคางดำแพร่ระบาดตามที่ถูกกล่าวอ้างอยู่ในขณะนี้ แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ยังสรุปไม่ได้ประชาชนคงต้องติดตามกันต่อไป...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม