วงนอกที่ติดตามและเกาะติดสถานการณ์การเมืองได้ตั้งปุจฉาว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดวันวินิจฉัยคดีความ 2 เรื่องใหญ่นั้น กำหนดนัดชี้คดียุบพรรค “ก้าวไกล” 7 ส.ค.67 คดีถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี วันที่ 14 ส.ค.67จะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่?จากการสอบถามและเจาะลึกในรายละเอียดแล้วคำตอบที่ได้ไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะแต่ละคดีขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานอันไหนพร้อมก่อนก็ชี้ขาดก่อนก็เลยออกมาในลักษณะนี้ไม่มีผลอย่างที่พูดกันว่าถ้าคดีแรกรอดคดีหลังก็รอดอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดอยู่ที่พยานหลักฐานมากกว่า!นั่นก็เป็นบรรยากาศก่อนที่คดีการเมืองสำคัญจะได้รับการตัดสินชี้ขาด ผลจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่ไปไกลกว่าคำวินิจฉัยก็คือความเป็นไปหลังจากนั้นมากกว่า โดยเฉพาะคดีของนายกรัฐมนตรีนั้นถึงขั้นทำนายเลยว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีแทนหาก “เศรษฐา” ต้องพ้นจากตำแหน่งหรือถ้าไม่หลุดรัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรกรณีนายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งบรรดาพรรคการเมืองที่มีชื่อบุคคลเป็นแคนดิเดตต่างก็ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะต่างก็มีความหวังว่าจะมีโอกาสขึ้นมานั่งแท่นตรงนั้นเพราะเป็นตำแหน่งสำคัญทางการเมือง รัฐบาลก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ ครม.ชุดนี้ก็ต้องพ้นไปด้วยมุมมองส่วนใหญ่ชี้ไปที่ “แพทองธาร ชินวัตร” จะได้รับการผลักดันให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนเพราะมีความพร้อมที่สุด“บิ๊กป้อม” จากพลังประชารัฐคงยากเพราะยังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะสร้างอภินิหารอะไรมาช่วยก็เป็นไปได้ยากที่มีโอกาสมากสุดคือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ประกาศตัวไปแล้วว่าไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีสำรองของใครถ้าไม่ได้เสียงข้างมากจะไม่แย่งใครเด็ดขาดกรณีน่าจะลงเอยลักษณะนี้มากกว่ากรณีอื่นๆอีกมุมถ้า “เศรษฐา” รอดจากบ่วงกรรมนี้ก็คงทำหน้าที่ต่อไปอย่างสบายอกสบายใจมากกว่าแน่นอน อย่างหนึ่งก็คือจะต้องทำให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งและสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้เพื่อโชว์ผลงานให้ปรากฏแก่ประชาชนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือการปรับ ครม. เพราะขณะนี้จำนวนรัฐมนตรีไม่ครบโควตาเพราะ “เพื่อไทย” ยังขาดไปหนึ่งและรวมไทยสร้างชาติยังขาดไปอีกหนึ่งหรือจะเอาคนใหม่เข้ามาแทนอย่างที่พูดกันว่าจะส่งตัวจริงลงสนามเพราะมีความสามารถและประสบการณ์มากกว่าอันนั้นก็แล้วแต่จะว่ากันไป...แต่ที่มีข่าวว่าจะดึงประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมเพื่อแทนที่พลังประชารัฐที่ขจัดขุมกำลังของ “บิ๊กป้อม” เอาไว้ซีกหนึ่งเพื่อไม่ให้สร้างปัญหากดดันรัฐบาลประเด็นนี้นายกรัฐมนตรีและผู้จัดการรัฐบาลต่างก็ปฏิเสธกันไปแล้วว่า “ไม่มี”ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะไม่มีความจำเป็นและพลังประชารัฐก็แก้ปัญหาจบไปแล้ว!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม