วิกฤตการณ์ “นายบุญเที่ยง” ขโมยลูกชิ้น ก่อให้เกิดดราม่าความคิดต่างการใช้กฎหมายกับความรู้สึกของสังคม? บางคนโทษผู้เสียหายว่างกลูกชิ้นราคา 300 บาท! อีกฝั่งคิดตรงข้ามว่า สังคมควรแก้แค้นให้ติดคุกอย่างสาสม อย่าอ้างความจนเพื่อเลี่ยงกฎหมาย?มวยทรงนี้ หากอัยการจังหวัดสั่งไม่ฟ้อง ต้องส่งตำรวจทำความเห็นแย้ง แล้วส่ง อสส.ชี้ขาด ตาม ป.วิอาญามาตรา 145 หรืออีกช่องทางคือ เห็นว่าเป็นคดีไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ส่ง อสส.ชี้ขาด ไม่ต้องผ่านตำรวจบทเรียนจาก “วิกฤตการณ์บุญเที่ยง” ทำให้อัยการหันมาให้ความสำคัญกับร่าง พ.ร.บ.สั่งชะลอการฟ้องอีกครั้ง เป็นร่างกฎหมายที่อัยการเคยต่อสู้ให้ออกมาคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตั้งแต่ปี 2537 เคยผลักดันถึงชั้นกรรมาธิการ แต่พ่ายไปหลายครั้งน่าจะราวๆปี 2550–59กฎหมายนี้อัยการสามารถออกคำสั่งไม่ฟ้อง โดยใช้ “การชะลอการฟ้อง” พร้อมคุมประพฤติผู้กระทำผิดไว้ในชั้นก่อนฟ้องคดี ใช้กับผู้กระทำผิดอาญาที่ไม่มีจิตใจชั่วร้าย โทษไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าความผิดส่วนตัวหรืออาญาแผ่นดินโดยตำรวจทำสำนวนส่งอัยการตามปกติ แต่อัยการจะดูว่า ผู้ต้องหากับผู้เสียหายเจรจาเยียวยาความเสียหายกันได้ มีเงื่อนไขต้องไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และยอมอยู่ภายใต้เงื่อนไขการคุมประพฤติช่วงระยะเวลาหนึ่งหากปฏิบัติตามเงื่อนไขและบรรเทาผลร้ายจนผู้เสียหายพอใจ อัยการจะออกคำสั่งไม่ฟ้อง คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาด แต่ถ้าผู้กระทำผิดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข เกเร บิดพลิ้ว พนักงานอัยการจะมีคำสั่งฟ้องคดีแต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกตีตกไป?อาจไม่สบายใจเรื่องการตรวจสอบดุลพินิจของอัยการ เพราะเมืองไทยมีระบบอุปถัมภ์เยอะ ผู้กระทำผิดอาจมีอิทธิพลทางการเงิน มีเส้นสาย วิ่งเต้นให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือบีบให้ผู้เสียหายยอมเจรจา!หรือมองไปถึงการให้อำนาจอัยการมากเกินไป?ห่วงว่ากฎหมายนี้ต้องให้ผู้มีส่วนได้เสียตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของอัยการได้ รวมทั้งต้องกำหนดข้อหาและประเภทคดีที่จะชะลอการฟ้องอย่างรัดกุมแต่ช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ อาชญากรรมมากขึ้น กฎหมายชะลอฟ้องน่าเหมาะสม?สหบาทคลิกอ่านคอลัมน์ “ส่องตำรวจ” เพิ่มเติม