ยึดถือคำพูดของนักปราชญ์ที่ว่า ความยุติธรรมแม้จะมาช้า แต่จะต้องมา ทนายความผู้เป็นตัวแทนชาวมุสลิมภาคใต้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ตากใบ” ตัดสินใจยื่นฟ้องอดีตนายทหารระดับสูง บางคนเคยเป็นถึงแม่ทัพภาค พร้อมกับคณะรวม 9 คน ในข้อหากักขังโดยมิชอบ และผู้ร่วมชุมนุมโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2547 ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร สาเหตุสืบเนื่องมาจากมีประชาชนไปร่วมชุมนุม ที่หน้าสถานีตำรวจ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา 6 คน แต่ฝ่ายความมั่นคงใช้กำลังสลายการชุมนุม มีผู้เสียชีวิต 7 คน แต่ยังไม่จบแค่นั้นมีการจับกุมผู้ชุมนุม จับโยนขึ้นรถบรรทุกทหาร นอนทับซ้อนกันเพื่อนำส่งค่ายทหาร ซึ่งอยู่ห่างออกไป 140 กิโลเมตร กลายเป็นโศกนาฏกรรม เพราะมีการเสียชีวิตเพิ่มอีก 78 คน อดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ “ไฟใต้” ลุกลาม และยังไม่ดับจนถึงบัดนี้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันยังเกิดเหตุร้ายขึ้นอีก เช่น กรณีการล้อมปราบที่มัสยิดกรือเซะ ปัตตานี อดีตนายกฯทักษิณเคยยอมรับด้วยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์สิงคโปร์ หลังจากถูกยึดอำนาจ ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด เพราะเป็นตำรวจ ถูกสอนมาว่าต้องใช้กำปั้นเหล็กกับถุงมือกำมะหยี่แต่นายทักษิณยอมรับว่า ที่ผ่านมา ใช้กำปั้นเหล็กมากไป เสียใจในสิ่งที่ผิดพลาด “ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนแปลง” รัฐบาลทักษิณถูกโจมตีอย่างรุนแรง เพราะมองว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เป็น “โจรกระจอก” จึงปราบปรามด้วยกำลังตำรวจ และประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อปราบปรามขั้นเด็ดขาดแต่ล้มเหลวพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ประกาศใช้เมื่อปี 2540 ยังใช้บังคับอยู่ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่รัฐบาล คสช.ที่มาจากรัฐประหารชอบใจ เพราะเป็นกฎหมายอำนาจนิยม จึงนำมาประกาศใช้ไปทั่วประเทศ เพื่อปราบปรามโควิด แต่ตำรวจ กทม.ชอบใช้สลายการชุมนุมดีกว่าต้องรอมาเกือบ 20 ปี ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ จึงตัดสินใจขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อความยุติธรรม ก่อนที่คดีจะขาดอายุความแค่ไม่กี่เดือน และอาจจะยังมีผู้คนอีกเป็นอันมาก ที่ต้องการแสวงหาความยุติธรรมจากการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมือง แต่ส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงซึ่งความยุติธรรม.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม