ความล้มเหลวของ “กลไกรัฐ” ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้ “อำนาจ” ของ “เจ้าหน้าที่รัฐ”...ทำให้ข้าราชการและนักการเมืองจำนวนมากกล้าคดโกง เอาเปรียบสังคม โดยไม่กลัวโทษทัณฑ์ดร.มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) บอกว่า ทางออกคือต้องกระตุ้นและมีมาตรการให้เกิดการตรวจสอบโดยภาคประชาชนอย่างเข้มแข็งปัญหาสำคัญของกลไกรัฐคือ การเกรงใจพวกพ้องกลัวเสียชื่อเสียงหน่วยงาน เกรงกลัวผู้มีอำนาจ มีประโยชน์ต่างตอบแทน ผู้ใหญ่อยากทำงานง่าย มองคนสำคัญกว่าระบบและประโยชน์ส่วนรวม ขาดเทคโนโลยีที่เหมาะสม ไม่มีอำนาจที่แท้จริง สุดท้าย...จึงไม่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบกันเองพุ่งเป้าไปที่กลไกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและงบประมาณแผ่นดินของเจ้าหน้าที่รัฐ ดร.มานะย้ำว่า การตรวจสอบโดยกลไกของรัฐ... เป็นการดำเนินการโดยผู้มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย พร้อมด้วยทรัพยากรและงบประมาณ หนึ่ง...การตรวจสอบภายในหน่วยงาน (Internal audit) ตามที่ถูกกำหนดไว้คือ ผู้บังคับบัญชา หน่วยงานตรวจสอบภายในหรือคณะบุคคลที่ได้รับมอบหมาย และกลไกรับเรื่องราวร้องทุกข์จากเจ้าหน้าที่หรือประชาชน ถัดมา...การตรวจสอบจากภายนอก (External audit)แยกย่อยเป็น...หน่วยงานที่เป็นสายงานกำกับดูแล เช่น กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้ตรวจราชการประจำกรมหรือกระทรวง หน่วยงานที่มีภารกิจเฉพาะ เช่น กรมบัญชีกลาง ก.พ. ป.ป.ท. กลต. ฯลฯองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น สตง. ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิฯ กกต., กลไกทางการเมืองคือ รัฐสภาและกรรมาธิการ การตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจโดยรัฐบาล เช่น คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กรณีรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรอีกกรณีคือ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีบอส อยู่วิทยา ที่มี ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธานฯนอกจากนี้ยังมี “การตรวจสอบโดยภาคประชาชน” ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยเสียสละและสมัครใจหรือได้รับความเดือดร้อน จึงต้องสู้เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่ใส่ใจ ปัดภาระหรือช่วยเหลือกันที่ผ่านมา...มักจะหมายถึงการที่ประชาชนไปร้องทุกข์ ร้องเรียน ต่อหน่วยงานรัฐ แต่ยุคนี้ประชาชนหูตาสว่างและกล้าหาญมากขึ้น จึงมีการรวมตัวเพื่อต่อสู้ ลงมือขุดคุ้ยเปิดโปงที่ลึกรอบด้านและต่อเนื่องมากขึ้น ผ่านสื่อออนไลน์ เพจหรือเครือข่ายอาสา สื่อมวลชน แทนที่จะร้องเรียนผ่านหน่วยงานของรัฐทางเดียวทราบกันดีว่า อุปสรรคใหญ่สำหรับประชาชนคือ การเข้าถึงข้อมูลภาครัฐทำได้ยาก ขั้นตอนมากเสียเวลา มีค่าใช้จ่ายสูง ขาดความรู้ทางกฎหมายและภาษาราชการ และอาจถูกคุกคามได้ตลอดเวลา ดร.มานะ นิมิตมงคลตัวอย่างกรณี “ตรวจสอบ” และ “เปิดโปง” โดยประชาชนและสื่อมวลชน เช่น ทุจริตอาหารกลางวันเด็กนักเรียน คดีกลุ่มเยาวชนฆ่าป้ากบ หมู่บ้านป่าแหว่งที่ จ.เชียงใหม่ เสาไฟกินรี การแก้ปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5 คดีกำนันนก กรณีนาฬิกายืมเพื่อน บ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เป็นต้นโดยสรุป...คนในหน่วยงานเดียวกันเองย่อมรู้ดีว่า หากจะ “คอร์รัปชัน” หรือทำเรื่องไม่ถูกไม่ควร เช่น โกงจัดซื้อหรือเอาของหลวงไปใช้ส่วนตัว ต้องทำอย่างไร เมื่อใด มากแค่ไหน เจรจาหรือทำเอกสารอย่างไร ต้องอาศัยใครหรือเงื่อนไขอย่างไรเพื่อปกปิดช่วยเหลือกัน?ดังนั้น “คอร์รัปชัน” จะลดลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย หากกลไกตรวจสอบภายในหน่วยงานทำหน้าที่ได้จริง ขณะที่หน่วยตรวจสอบภายนอกแม้มีอำนาจมาก แต่ไม่สามารถรับมือกับความใหญ่ ซับซ้อน และขาดธรรมาภิบาลของระบบราชการและการเมืองได้บทเรียนนี้สอนเราว่า...“การมีส่วนร่วมและตรวจสอบของประชาชนเท่านั้น ที่เป็นพลังกดดันให้กลไกของรัฐทั้งปวงต้องเข้ามาตรวจสอบ และร่วมกันรับผิดชอบจริงจังมากขึ้น”เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ดร.มานะ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวยังมีคนถามว่า...ทำเรื่องต่อเติมบ้าน ต้องจ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่เท่าไหร่...เลยต้องพลิกแฟ้มข้อมูลเก่าเมื่อหลายปีมาแล้ว เอามาเผยแพร่ให้รู้กันอีกรอบอัตราจ่าย “เงินใต้โต๊ะ-ค่าน้ำร้อนน้ำชา-ค่าอำนวยความสะดวก”“สินบน-เงินใต้โต๊ะ” ในการก่อสร้างบ้านและอาคาร โดยมากเกิดเมื่อผู้ไปยื่นขอใบอนุญาตแล้วถูกเจ้าหน้าที่เห็นแก่ได้บางกลุ่มกลั่นแกล้งดึงเรื่องให้ช้า ไม่จบสิ้นด้วยสารพัดข้ออ้างแม้จะทำทุกอย่างถูกต้องดีแล้ว เพื่อตัดรำคาญและมิให้เกิดความเสียหายเขาจึงต้องจ่ายไป มีบ้างที่เป็นการจ่ายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ปิดหูปิดตา...เพราะ...มีการกระทำบางอย่างผิดกฎหมายหรือผิดขั้นตอน จนทำให้คนจำนวนมากเชื่อกันว่า ถ้าต้องการต่อเติมบ้านหรือร้านค้าที่ไม่ใหญ่โตนักก็ยอมจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ไปเลยโดยไม่ยอมเสียเวลาไปติดต่อยื่นขอใบอนุญาตให้มากเรื่อง ถามว่า...ต้องจ่ายมากเท่าไหร่? เริ่มจาก...ชาวบ้าน คนค้าขายทั่วไป มีตั้งแต่ 3,000-5,000 บาท หรือ 50,000 บาท จนถึงหลักแสนแล้วแต่กรณี ถัดมา...ผู้ประกอบการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม โดยทั่วไปมีราคามาตรฐาน มากน้อยขึ้นกับขนาดและทำเล หรือพื้นที่ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังบูมก็แพงขึ้นถ้าเป็นต่างจังหวัดราคาจะไม่แน่นอน แต่อย่างไรก็ต้องจ่ายพิเศษให้ “ผู้มีอำนาจ” บางคนในทุกหน่วยงานที่ต้องไปขออนุญาต (ที่มีมากถึง 48 รายการ) ตัวอย่างเช่น ขออนุญาตก่อสร้างทั้งโครงการบ้านเดี่ยว... ตึกแถว 5,000-7,000 บาทต่อหลัง ทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น 3,500 บาทต่อหลังคอนโดไม่เกิน 8 ชั้น อาคารละ 100,000 บาท เกินกว่า 8 ชั้นอาคารละ 500,000 บาท...ขอใบอนุญาตจัดสรร 50,000-80,000 บาท...ค่าออกเอกสารสิทธิห้องชุดคอนโด ห้องละ 1,000 บาท...ค่าทำรังวัดที่ดินนอกรอบ ไร่ละ 1,000 บาท รังวัดเป็นทางการ เหมารวม 20,000-25,000 บาทการชี้แนวเขตที่ดินครั้งละ 3,000 บาท ทำผังและพล็อตโฉนด/ตรวจสอบผังรังวัด/เขียนโฉนดฝ่ายทะเบียน รายการละ 12,000-15,000 บาท ...ค่าตัดแต่งต้นไม้หน้าโครงการ 2,000-3,000 บาท ฯลฯการเอาชนะปัญหาเรื้อรังเช่นนี้ไม่ใช่การไล่เอาตัวคนผิดมาลงโทษ เพราะไม่มีวันจับได้หมดสิ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องยกเครื่อง “ระบบและวัฒนธรรมการทำงาน” เสียใหม่ ให้โปร่งใส ไม่ยุ่งยากดร.มานะ บอกอีกว่า แต่ละปีมี “เงินบาป” จากคอร์รัปชันในภาครัฐราว 5 แสนล้านบาท จากกลโกง 3 ประเภท...“โกงหลวง ฉ้อราษฎร์ และกัดกินกันเอง” ความเสียหายนี้ยังไม่รวมความเดือดร้อนและผลกระทบต่อประเทศชาติ ประชาชน คนทำมาค้าขายที่ตามมาอีกมากมาย“รัฐ” ต้องใช้เงิน “ภาษี” จำนวนมหาศาลไปแก้ไขปัญหาอย่างไม่รู้จบ เช่น กรณีสามจังหวัดภาคใต้ การแพร่ระบาดของยาเสพติด การศึกษาด้อยคุณภาพ การค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ นมโรงเรียน ฯลฯโกงเล็กโกงน้อย “ข้าราชการ” ทำกันเองได้ แต่โกงกินคำใหญ่เสียหายครั้งละมากๆต้องมี “นักการเมือง” ร่วมบงการด้วยเสมอ ดังนั้นอย่าแปลกใจ...ถ้าเห็นคนใน “รัฐบาล” ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเรื่องปราบคอร์รัปชัน?คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม