กระแสโลกาภิวัตน์ที่ทำให้ทั่วทั้งโลกเชื่อมต่อในหลายด้าน จนในบางครั้งก็อาจทำให้สิ่งที่มีอยู่เดิมค่อยๆ เลือนหายไป แต่หนึ่งในสิ่งที่จะยังคงเชื่อมโยงผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน และถ่ายทอดวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มคือ “ภาษา”ไต้หวันเป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ เพราะภาษาที่ชาวไต้หวันใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้มีเพียงแค่ภาษาจีนกลางที่เป็นภาษาราชการ เขียนด้วยอักษรจีนตัวเต็ม แต่มีการใช้ภาษาท้องถิ่นหมิ่นหนาน (ชาวไต้หวันส่วนใหญ่อพยพมาจากมณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน) เรียกง่ายๆ คือภาษาไต้หวัน หรือภาษาฮกเกี้ยน ส่วนชาวจีนแคะ (ฮากกา) และกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมในไต้หวันที่ใช้ภาษาของตนเอง อาทิ ชาวโจว (Tsou) และ ชาวอามิส (Amis) อีกทั้งผู้สูงอายุบางส่วนก็ยังสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ เพราะไต้หวันเคยอยู่ใต้อาณานิคมญี่ปุ่นคงเป็นเรื่องยากที่จะอนุรักษ์ภาษาที่เป็นสื่อกลางไม่ให้ล้มหายตายจากไปพร้อมคนเฒ่าคนแก่ การรักษาไว้ในรูปแบบสื่อที่เข้ากับยุคสมัย คงทำให้ผู้คนเข้าถึงง่ายและสนใจที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมเหล่านี้มากขึ้น เช่นเดียวกับดูโอ้จากไต้หวัน “Collage” มีนักร้องนำคือ “นัตสึโกะ” สาวลูกครึ่งฮากกา-อามิส และ “ฮันเตอร์ หวัง” มือกีตาร์หนุ่มชาวหมิ่นหนาน ที่ประพันธ์บทเพลงทั้งภาษาไต้หวัน ภาษาอามิส และภาษาญี่ปุ่น เรียบเรียงดนตรีที่ผสมผสานกับเครื่องดนตรีสมัยใหม่ เครื่องดนตรีพื้นเมือง เจือด้วยความเมทัลอย่างงดงามดั่งศิลปะคอลลาจในปี 2563 ดูโอ้หนุ่มสาวปล่อยเพลงภาษาไต้หวันคือ “Stubborn Love in Chains” และ “Rather be Ashes than Dust” ก็เกิดข้อถกเถียงบนโลกอินเตอร์เน็ต เนื่องจากเนื้อเพลงบางท่อนใช้ภาษาไม่ถูกต้อง แต่แฟนเพลงและผู้เชี่ยวชาญก็ให้ความช่วยเหลือด้านภาษาเป็นอย่างดี ก่อนส่งเพลง “Maliyang” (ภาษาอามิส แปลว่า ถ้อยคำ) ที่มีเนื้อเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นกับภาษาอามิสให้ทั่วโลกรับฟัง บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ดิ้นรนของสตรีชาวอามิสที่รู้ภาษาญี่ปุ่นในตอนที่ไต้หวันตกอยู่ภายใต้อาณานิคมญี่ปุ่นจนในปี 2564 ก็ปล่อยอัลบั้มชุดแรก “Memento Mori” (ภาษาละติน แปลว่า ความตายเป็นที่หมายสุดท้ายของทุกคน) ประกอบด้วยเพลงภาษาไต้หวัน ภาษาอามิสและภาษาญี่ปุ่นรวม 9 เพลง ได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม ก่อนคว้ารางวัล Best New Artist จากงาน Golden Melody Awards ครั้งที่ 33 ประจำปี 2565 ของไต้หวัน นัตสึโกะและฮันเตอร์ยังอุทิศรางวัลนี้ให้กับทุกคนที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพและความหลากหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ตั้งมั่นไว้เสมอมา จึงอยากชวนทุกท่านเฝ้ารอติดตามผลงานของวง Collage คนรุ่นใหม่จากไต้หวัน.ญาทิตา เอราวรรณคลิกอ่านคอลัมน์ "หน้าต่างโลก" เพิ่มเติม