ตำนาน “ไหลเรือไฟ” เชื่อว่ามีมาแต่โบราณนานแค่ไหนตอบไม่ได้ รู้เพียงว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท สักการะท้าวพกาพรหม หรือบวงสรวงพระธาตุจุฬามณี ขอบคุณแม่คงคาบ้างว่าขอฝนและไฟเผาชำระทุกข์ให้หมดไปเหนืออื่นใดบูชาพระพุทธเจ้าถึงภพพญานาคลำน้ำโขง เดิมใช้หยวกกล้วยลอยน้ำโดยปักโครงไม้ติดขี้ไต้หรือตะเกียงส่องสว่างให้เห็นภาพโครงนั้นก่อนปล่อยให้ไหลลงสู่ลำโขงประเพณีนี้นิยมทำกันวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ แรม 1 ค่ำ เดือน 1 และสืบสานบริเวณท้องน้ำหน้าเมืองนครพนม หรือพื้นที่อีสานแหล่งชุมนุมพญานาคในบางถิ่นกว่า 100 ปี ไหลเรือไฟแดนนี้ถูกผูกเป็นงานบุญประจำปี เพิ่งสะดุดชั่วคราวเมื่อโควิดระบาดปี 2562 ฟื้นกลับอีกทีปี 2565 แต่เป็นเพียงการแสดงเรือไฟฉบับย่อไม่มีการประกวด มาปีนี้...จัดเต็มคาราเบลเหมือนเคยขณะรัฐบาลชุดนี้เอาด้วยกับการวางนโยบายภายใต้วิธีคิด “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่นายโจเซฟ ไนย์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คิดขึ้นมาโดยไทยเรานำมาใช้ส่งเสริมวัฒนธรรม “5 เอฟ” เริ่มจากฟู้ด คืออาหารไทย ฟิล์มหมายถึง ภาพยนตร์วีดิทัศน์ แฟชั่นแบบสไตล์ไทย ไฟต์ติ้งได้แก่ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวและ...เฟสติวัล สื่อถึงอีเวนต์เทศกาลไทย “ไหลเรือไฟคู่ธาตุศักดิ์สิทธิ์” ถูกจัดเป็นหนึ่งของกระบวนการ 5 เอฟ ที่หากส่งเสริมจริงจังก็เท่ากับผลักดันให้ท้องถิ่นมีรายได้จากคลื่นมนุษย์อย่างงาม จะเห็นว่าในปีนี้...นครพนมเมืองแคมโขงแทบแตก! เมื่อมีนักท่องเที่ยวไหลไปกระจุกตัวมากเป็นประวัติการณ์ปราชญ์ท้องถิ่นมากประสบการณ์รู้สึกตื่นเต้นบอกเกิดมาเพิ่งเคยเห็น น่าจะเกิดจากโควิดเป็นเหตุให้คนอั้นอยู่ 3 ปี พอจัดเรือไฟเต็มรูปแบบมีหน่วยงานส่งเรือเข้าแข่งขันมากมายบรรยากาศจึงคึกคักราวป่าช้าแตก จังหวัดข้างเคียง อาทิ มุกดาหาร ยโสธร อุบลฯ สกลนคร กาฬสินธุ์ ถึงมหาสารคามก็พลอยรับอานิสงส์ไปด้วยจังหวัดนครพนม...มีโรงแรม 215 แห่ง 4,377 ห้อง ถูกจองเต็มหมดในราคาผีเห็นโลงศพ ปกติเคยขาย 600 ปรับสูงเป็น 2,000 บาทไม่เห็นจังหวัดทำอะไรได้ คนเบี้ยน้อยอาศัยวัดหรือโรงเรียนนอนบางรายกางเต็นท์ในพื้นที่ทหารกับตำรวจตระเวนชายแดน“การจราจรก็อัมพาตไปครึ่งเมือง เพราะตำรวจไม่มีประสบการณ์ ลานจอดรถมีหน่วยงานสนับสนุนที่จอดฟรีก็จริง แต่ไม่พอต้องพึ่งเอกชนแบบผีถึงป่าช้าคันละ 200 บาท”...นี่คือภาพที่ปราชญ์สะท้อนถึงความไม่พร้อม กรณีจะขับเคลื่อนอีเวนต์ไหลเรือไฟสู่ “พลังซอฟต์พาวเวอร์” ต่อเนื่องมาที่ ต.ปากน้ำประแส อ.แกลง จ.ระยอง กันบ้างกับโหมดใหม่ที่ปลุกวิญญาณนักอนุรักษนิยมกรณีเทศบาลตำบลปากน้ำประแสรับบทโต้โผจัดงานบุญประจำปี “ทอดผ้าป่ากลางน้ำ” ร่วมกับจังหวัดและสำนักงานวัฒนธรรมในพื้นที่ บริเวณปากน้ำประแสช่วงวันที่ 26-28 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้โดยในวันที่ 27 พฤศจิกายน คอนเซปต์งานกลางวันทำบุญทอดผ้ากฐิน บ่ายแข่งเรือพาย คล้อยค่ำลอยกระทงคืนเพ็ญ...เป็นเช่นนี้เหมือนทุกปี เพื่อสนองซีนาริโอซอฟต์พาวเวอร์“ปีนี้พิสดารกว่าทุกปี” ผู้นำชุมชนรายหนึ่ง ว่า “...มีพ่อค้าเขียงหมูสามย่านพื้นเพเป็นชาวอีสาน รู้กันดีว่าคือที่ปรึกษานายกเทศบาลตำบลประแสคนนี้...ใจถึงพึ่งได้ลงทุนทุ่มเงินส่วนตัวจ้างช่างมาทำเรือไฟแบบนครพนม แล้วไหลตามสายน้ำประแสให้มีสีสัน คนย่านนี้ก็เลย อดสงสัยไม่ได้...คงเตรียมลงเล่นการเมืองท้องถิ่นสมัยหน้าหรือเปล่า?”ทว่ากรณีนี้นักอนุรักษ์ท้องถิ่นแย้งว่า...สำนักงานวัฒนธรรมรู้มั้ย? นี่คือการทำลายวัฒนธรรมดีงามของที่นี่ ที่ชาวบ้านประแส ร่วมกันรักษามากว่า 100 ปี เพราะไม่ว่าจะขุดหลุมประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำแห่งนี้หลุมใด ก็ไม่ปรากฏพิธีไหลเรือไฟ เช่น อีสานมีน้ำโขง เป็นต้นตำนานพญานาค“เด็กรุ่นใหม่มาเห็นคงนึกสิว่า...แม่น้ำประแสมีพญานาคถึงต้องไหลเรือไฟบูชา คนต่างถิ่นเองก็มีแต่จะเย้ยหยันชาวประแสที่ไม่รู้จักรักษาเอกลักษณ์ตัวเอง ถึงได้แอบเอาประเพณีถิ่นอื่นมานำเสนอเช่นนี้”ในประเด็นเดียวกัน...“คนขายทัวร์” กลุ่มสนใจพิเศษประเภทวิถีชุมชน เปิดมุมมองน่าฟังไว้ว่า ชุมชนปากน้ำประแสได้ชื่อว่าเป็น แหล่งประวัติศาสตร์มาแต่ครั้งอยุธยา...เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยพื้นถิ่นทำประมงยังชีพมาหลายรุ่น ถึงได้เกิดประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำขึ้นนั่นเพราะพวกเขาใช้เวลากับ “ทะเล” มากกว่า “บ้าน” บนแผ่นดิน อีกกลุ่มเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่บรรพบุรุษอพยพกันมานานถนัดเรื่องค้าขาย โดยทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขคนขายทัวร์ชี้ปากน้ำประแสเป็นชุมชนที่กำลังออร่า ด้วยมีต้นทุนคือวิถีประมงเดิมๆที่ยังดำเนินอยู่ เช่น ลักษณะสังคมสิ่งแวดล้อมแบบบ้านๆภาคตะวันออก คนหนุ่มสาวสมัยใหม่ถึงจะมีบ้างที่ทิ้งถิ่น แต่คนเฒ่าคนแก่ยังใช้ชีวิตอยู่กับการแปรรูปอาหารทะเล สามารถรวมกลุ่มสร้างผลิตภัณฑ์ชุมชนป้อนตลาดได้“ปัจจุบันมีถนนเฉลิมบูรพาชลทิตตัดผ่านโลเกชันสวยงาม มีสะพานประแสสินเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำประแสคร่อมบริเวณปากอ่าว ทำให้เป็นโครงข่ายท่องเที่ยวในกลุ่มหาดแม่พิมพ์ห่างกันแค่ 11 กิโลเมตร และห่างหาดเจ้าหลาวจันทบุรีเพียง 30 กิโลเมตร อนาคตชุมชนปากน้ำประแสคาดน่าจะสดใส”แน่นอนเสน่ห์ดึงดูดทั้งหมดเหล่านี้ ภายใต้โครงการโบแดง... ซอฟต์พาวเวอร์การสร้างคอนเทนต์อุปโลกน์นำเรือไฟเจ้าปัญหามาก่อกวนชุมชน ครั้งนี้ นักพัฒนาการท่องเที่ยวเห็นเป็นเรื่องปกติ...ถ้าคนคิดฉลาดนำวิธีการส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวมาใช้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประเพณีดังกล่าว เพื่อการรับรู้กระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวยังแหล่งนั้นๆ“ตัวอย่าง ยโสธรไปแสดงบั้งไฟจับคู่กับจังหวัดไซตามะ ญี่ปุ่น แลกไซตามะนำบั้งไฟริวเซมาอวดยโสธรทุกปีช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา หรือล่าสุดอุบลราชธานีนำแห่เทียนพรรษาไปอวดในงานชักพระสุราษฎร์ธานี โดยเมืองคนดีนำประเพณีชักพระไปขิงโชว์เมืองดอกบัว”สรุปว่า...ถ้าคนต้นคิดเรื่องนี้คนนั้นทำเนียนๆจับมือ “นครพนม” แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม “ไหลเรือไฟ” กับพิธี “ทอดผ้าป่ากลางน้ำชาวประแส” ทุกอย่างก็จะแปะเอี่ยลงตัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย...แต่คนมหาดไทยแอบกระซิบ ปัญหาสำคัญมีว่าต้องดูดีๆว่า “พ่อเมือง” ทั้ง 2 แห่งนี้กำลังกินเกาเหลากันอยู่หรือเปล่า? ถ้าจับมือกันได้ลงตัวก็จะวินวินกันทุกฝ่ายนะจ๊ะ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม