“ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ก็โลดจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง”คำฉันท์อันเป็นส่วนหนึ่งของบทละครพูดคำฉันท์ “มัทนะพาธา” พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ที่ว่าด้วยตำนานของดอกกุหลาบและความเจ็บปวดจากความรัก ที่ในปีนี้ นอกจากจะเป็นโอกาสครบรอบ 100 ปีของบทพระราชนิพนธ์นี้แล้ว ยังตรงกับช่วงเวลาของการบูรณะซ่อมแซมพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เพื่อการพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยสำหรับบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “มัทนะพาธา” เป็นเรื่องที่ผูกขึ้นเกี่ยวกับตำนานดอกกุหลาบ โดยมีนางเอกของเรื่อง คือ นางมัทนา สาวสวรรค์ที่ถูกความรักจากผู้ชายสองคน คือ สุเทษณ์และชัยเสนทำร้าย จนสุดท้ายต้องกลายมาเป็นดอกกุหลาบ ทิ้งไว้กลางโลกมนุษย์ให้เป็นเครื่องหมายแห่งความรักไปชั่วกัลปาวสานเรื่องราวของ มัทนา นางฟ้าผู้มีความงามเป็นที่ต้องใจของสุเทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตชาติเคยเกิดเป็นธิดาของกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์ ส่วนสุเทษณ์เกิดเป็นกษัตริย์แคว้นปัญจาลซึ่งยกทัพมาตีแคว้นสุราษฎร์เพื่อชิงนาง พอได้ชัยชนะก็ขู่ว่าจะประหารพระบิดาของนางเสีย มัทนา ในชาตินั้นจึงเข้าถวายตัวเพื่อแลกกับชีวิตท้าวสุราษฎร์ แต่สุดท้ายนางกลับใช้พระขรรค์ปลิดชีวิตตัวเองเพราะยึดถือความสัตย์ว่าจะไม่ยอมให้ใครฝืนใจตนเอง เมื่อทั้งสองได้ไปกำเนิดใหม่บนสวรรค์ สุเทษณ์ก็ยังคงปักใจรักมั่นต่อ มัทนา ทว่านางกลับยืนกรานไม่รับรัก แม้สุเทษณ์พยายามสอบถามว่านางรักผู้อื่นเป็นเหตุให้ไม่รักใช่หรือไม่ แต่นางก็ยืนกรานว่านางไม่ได้มีความรักอยู่ เป็นเหตุให้สุเทษณ์กริ้วถึงแก่สาปนางมัทนาให้เป็น “ดอกกุพชะกะ” หรือดอกกุหลาบในโลกมนุษย์ จะกลายร่างเป็นหญิงสาวได้ก็แต่เฉพาะคืนวันเพ็ญเท่านั้น หรือต่อเมื่อมีความรักจึงจะอยู่ในรูปมนุษย์ได้อย่างถาวร เพื่อให้นางได้รู้จักกับความรัก ทว่าก็ขอให้นางต้องระทมทุกข์เพราะความรักนั้น และหากนางเป็นทุกข์เพราะรักเมื่อไรก็ให้ทำพลีกรรมบูชาสุเทษณ์เพื่อขออภัยโทษ บนโลกมนุษย์พระฤๅษีกาละทรรศินพบต้นกุหลาบและรู้ว่าไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา จึงขุดเอานางมัทนาจากในป่าหิมพานต์ไปปลูกไว้ในอาศรม เมื่อถึงคืนวันเพ็ญนางก็กลายเป็นมนุษย์มารับใช้พระฤๅษี อยู่มาวันหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระออกประพาสป่า ได้ไล่ตามกวางมาจนถึงอาศรมของพระกาละทรรศิน ทำให้ได้พบนางมัทนาและเกิดความรักอย่างลึกซึ้งต่อกันตั้งแต่แรกพบ ความรักที่ มัทนา มีต่อท้าวชัยเสนทำให้นางไม่ต้องกลายเป็นดอกกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนจึงนำนางกลับเมืองหัสตินาปุระเพื่ออภิเษกเป็นมเหสี ทั้งสองรักกันมากจนนางจัณฑี มเหสีเดิมของท้าวชัยเสนที่แต่งงานกันเพราะการเมืองหึงหวงและริษยาจึงทำอุบายให้ท้าวมคธ ผู้เป็นบิดายกทัพมาตีเมืองหัสตินาปุระ ระหว่างที่ท้าวชัยเสนออกรบ นางจัณฑีก็ร่วมกับพราหมณ์วิทูรและนางค่อมอราลี คนรับใช้ ทำอุบายว่านางมัทนาลักลอบเป็นชู้กับศุภางค์ ทหารเอกของท้าวชัยเสน เมื่อท้าวชัยเสนกลับมาถึงเมือง ก็พิโรธมาก รับสั่งให้ประหารนางมัทนากับศุภางค์เสีย แต่นันทิวรรธนะ ผู้เป็นเพชฌฆาตกลับปล่อยตัวทั้งคู่ไป นางมัทนาหนีกลับไปยังอาศรมของพระฤๅษีกาละทรรศิน ส่วนศุภางค์ก็ออกรบจนตัวตาย ต่อมาท้าวชัยเสนได้รู้ความจริงว่า มัทนาไม่ได้ลักลอบเป็นชู้แต่เป็นอุบายของนางจัณฑี ก็เสียใจมากรีบออกตามหา แต่ก็ไม่ทันการณ์เพราะนางมัทนาได้ทำพลีกรรมแด่สุเทษณ์เทพบุตรแล้ว แต่เมื่อสุเทษณ์เสด็จลงมาพบและจะรับนางเป็นชายา นางกลับยืนกรานปฏิเสธด้วยความรักอันมั่นคงที่มีต่อท้าวชัยเสน และร้องขอให้สุเทษณ์ช่วยเหลือให้นางกับชัยเสนได้ครองรักกันดังเดิม สุเทษณ์กริ้วหนักจึงสาปให้นางกลายเป็นดอกกุหลาบไปอย่างถาวร เมื่อท้าวชัยเสนมาถึงจึงเห็นแต่ดอกกุหลาบซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแท้เท่านั้น แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงอธิบายว่า “ละครเรื่องนี้ไม่ได้ใช้เนื้อเรื่องหรือตัดตอนมาจากแห่งใดๆเลย” แต่เมื่อทรงพระราชดำริให้นางเอกของเรื่องถูกสาปเป็นดอกกุหลาบ ส่วนฉากของเรื่องทรงสมมติว่าเป็นดินแดนอินเดียโบราณ ทรงได้นำเอาชื่อเรื่อง “มัทนะพาธา” มาจากศัพท์ของโมเนียร์-วิลเลียมส์ คือ มทน ที่แปลว่าความรักหรือความลุ่มหลง กับคำว่า พาธา ที่แปลว่าความทุกข์ ความหมายของ “มัทนะพาธา” ในพจนานุกรมสันสกฤตจึงหมายถึง “ความเจ็บปวดแห่งความรัก” การแสดงครั้งนี้ได้นักแสดงมากฝีมือ ดีกรีรองคณบดีนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่าง ผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ แสดงเป็น มัทนา อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร แสดงเป็น สุเทษณ์/ชัยเสน ศันสนีย์ ศีตะปันย์ แสดงเป็น จัณฑี กำกับการแสดงโดย ครูเล็ก–ภัทราวดี มีชูธน ศิลปินแห่งชาติ และกำกับดนตรีโดย อาจารย์อานันท์ นาคคง ศิลปินศิลปาธร สำหรับบัตรเข้าชมการแสดง เกล้ามาศ ยิบอินซอย ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในพระอุปถัมภ์ บอกว่า เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของการบูรณะพระราชนิเวศน์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาจำนวนกว่าแสนแผ่นซึ่งมีน้ำหนักเกินไปแผ่นละ 1 กิโลกรัม จนส่งผลกระทบต่อฐานรากของตัวอาคารในปัจจุบัน ทางมูลนิธิฯได้เปิดให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมรักษาและสืบทอดมรดกของชาติด้วยการสมัครเป็นสมาชิกบูรโณปถัมภ์ซึ่งเป็นสมาชิกตลอดชีพ เพื่อร่วมระดมทุนในการอนุรักษ์และบูรณะพระราชนิเวศน์ฯ โดยมีค่าสมัครสมาชิกจำนวน 6,910 บาทผู้อำนวยการสำนักงานมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ยังบอกด้วยว่า นอกจากเรื่องของการสมัครสมาชิกแล้ว ในวันที่ 25-26 พฤศจิกายน ทางมูลนิธิฯยังได้จัดแสดงการอ่านบทพระราชนิพนธ์มัทนะพาธาหรือตำนานแห่งดอกกุหลาบประกอบการแสดงและดนตรี เนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี บทพระราชนิพนธ์ จำหน่ายบัตรในราคา 1,690 บาท แต่หากได้สมัครเป็นสมาชิกบูรโณปถัมภ์แล้ว สามารถเข้าชมการแสดงได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย และยังสามารถนำผู้ติดตามร่วมเข้าชมได้ 1 ท่าน โดยเสียค่าบัตรเพียงราคา 690 บาท ซื้อบัตรได้ที่ https://forms.gle/FCL37hmbwN6PhLmw9) หรือสอบถามได้ที่ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน, ททท.สำนักงานเพชรบุรี ซึ่งมีส่วนร่วมในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างมีความหมาย หรือ Meaningful Travel ที่นอกจากผู้ชมจะได้ชมการแสดงอันมีค่ายิ่งใหญ่นี้แล้ว ยังมีส่วนสมทบทุนการบูรณะพระราชนิเวศน์มฤคทายวันด้วย.คลิกอ่าน “THE NEW NORMAL” เพิ่มเติม