ในห่วงโซ่ความทุกข์ ข้อ “ตัณหา” ความอยากมีอยากเป็น ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น คล้องต่อกับข้อ “อุปาทาน” ความยึดมั่นถือมั่น ท่านอาจารย์พุทธทาส บอกวิธีหักห่วงโซ่ทุกข์ข้อนี้ ว่า ก็แค่ “ปล่อยวาง”ปล่อยวางตัณหา เขียนง่ายอ่านง่าย แต่เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ มนุษย์ทำได้ยากแสนยากสอนการดับทุกข์ตามแบบฉบับพระไทย...ยิ่งพูดยืดยาวไป ตลอดสายโซ่แห่งทุกข์ ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ยิ่งยาก ฟังไม่รู้เรื่องไปกันใหญ่การสอนธรรมะในเรื่องเดียวกัน ของพระฝรั่งศิษย์หลวงปู่ชา... สมภารวัดพุทธเมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ผมเพิ่งอ่านเจอใน “ชวนม่วนชื่น 2” พระอาจารย์พรหม ท่านสอนให้เห็นภาพ จับต้องได้ เข้าใจได้ง่ายๆเรื่องที่ 55 เรื่องกล้วยๆ พระอาจารย์พรหม เล่าตามแบบฉบับของท่านว่าในสมัยโบราณการจับลิงนั้น เป็นเรื่องไม่ยาก พวกพรานจะเดินเข้าป่า หามะพร้าวที่แก่ได้ที่ เฉาะมะพร้าวให้เป็นรูขนาดเท่ากำปั้นลิง แล้วกินเนื้อกินน้ำมะพร้าวจนหมดเสร็จแล้วพรานจะเอากล้วยสุกผลหนึ่งหย่อนลงไป ใช้เชือกเส้นใหญ่หรือสายหนังผูกแขวนไว้บนกิ่งไม้ก็แค่นี้ นายพรานก็กลับไปนอนกระดิกเท้ารอที่บ้านไม่ต้องสงสัย หลับตาเห็นได้เลย จะต้องมีลิงสักตัวซุกซนเวียนมาเจอกล้วยในลูกมะพร้าว ทันที เจ้าลิงก็จะเอามือยัดลงไป กำกล้วยไว้ แต่อย่าลืม รูที่เจาะขนาดพอให้มือลิงเปล่าๆแหย่เข้า พอลิงกำกล้วย มันจึงดึงมือออกจากลูกมะพร้าวไม่ได้เจ้าลิงจะทุรนทุราย ดึงมือดิ้นรนแค่ไหน อย่างไร เวลาผ่านไปนานแค่ไหน...พรานไม่จำเป็นต้องสนใจ เป็นเรื่องแน่นอน เขาจับลิงได้แน่นอนแล้วก่อนพรานมาถึงตัว ทางรอดเดียวของลิง ปล่อยกล้วยทิ้งจากมือ ดึงมือออกจากลูกมะพร้าว และกระโดดหนีแต่ก็เปล่า! ไม่มีลิงตัวไหนจะรอดมือพราน เพราะมันมัวแต่คิดว่า “มันเป็นกล้วยของฉัน”พระอาจารย์พรหม เล่าต่อ มนุษย์ก็ถูกจับตัวไว้ด้วยวิธีเดียวกันพระอาจารย์ยกตัวอย่างชีวิตของญาติโยม ลูกชายสุดที่รักเพิ่งตาย โยมก็ไม่สามารถหยุดคร่ำครวญถึงเขาได้เสียที โยมรำพันคิดถึงเขาตลอดเวลา ความโศกเศร้านั้น โยมไม่เป็นอันทำการทำงาน ไม่เป็นอันกินอันนอนสิ่งที่โยมต้องทำ คือปล่อยกล้วยในมือทิ้งไป โยมจึงจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีทุกข์มากเกินไปนักแต่ความจริง โยมก็เป็นอย่างลิง โยมไม่ยอมปล่อยวาง เพราะโยมคิดว่า “เขาเป็นลูกชาย” “ฉันเป็นคนให้กำเนิดเขามา” และ “เขาเป็นของฉัน”คุณแม่หลายคนรำพันให้พระอาจารย์ฟัง ตอนที่มองเข้าไปในดวงตาของลูกที่เพิ่งเกิด ก็รู้โดยสัญชาตญาณ นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เกิดมาจากพ่อแม่แต่เพียงผู้เดียวแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาพร้อมกับอดีต มีบุคลิกลักษณะเฉพาะของตัวเอง เป็นผู้มาเยือน มาจากภพไหนก็ไม่รู้พวกเธอมีหน้าที่ ให้การเอาใจใส่ อบรมบ่มนิสัย รักใคร่เอ็นดู น่าเสียดาย เมื่อเวลาผ่านไปพ่อแม่มากมายก็มักลืม พระอาจารย์พรหม สรุปคำสอนที่ฟังแล้วทำตามยากว่าการรักใครสักคน คือการปล่อยให้เขาจากไปในวันข้างหน้าอ่านเรื่องพระอาจารย์พรหมจบ ผมมโนไปอีกอย่าง มโนว่า ถ้ากล้วยนั้นคืออำนาจในโลกนี้ ในบ้านเมืองไหนๆ ไม่เว้นในบ้านเมืองเรา มีคนมากมาย ดูเอาเถิด! คนหนึ่งขนาดหนีไปอยู่ถึงเมืองไกลแสนไกล ยังอุตส่าห์ดั้นด้นกลับมาติดกับดักอำนาจ เหมือนลิงกำกล้วยได้อีก.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม