หลังจากที่ 11 พรรคร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ทำให้ความเคลื่อนไหวของพรรครัฐบาลซาๆลงไป เพราะมุ่งหน้าสร้างผลงานตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาชน พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคใหญ่ที่สุดกลับมีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก เพราะต้องเตรียมตัวเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภารัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า หลังจากที่จัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้ง สส.ผู้เป็นหัวหน้าพรรคที่มี สส.มากที่สุด เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แต่จะต้องไม่มี สส.คนใดเป็นรัฐมนตรี หรือประธานสภา หรือรองประธานสภา แต่พรรคก้าวไกลมีคุณสมบัติเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเป็นพรรคที่มี สส.มากที่สุด แต่หัวหน้าพรรคไม่ได้เป็น สส. และยังมี สส.คนหนึ่งเป็นรองประธานสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จึงต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อให้มีการเลือกคณะกรรมการ และหัวหน้าพรรคคนใหม่ และพรรคก้าวไกลก็ทำได้ ในการประชุมใหญ่แค่ครั้งเดียว ก็ได้ กก.ชุดใหม่อุปสรรคที่สำคัญต่อไปคือจะทำอย่างไรกับตำแหน่งรองประธานสภาที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ถือครองอยู่ คณะกรรมการพรรคใหม่ จะเป็นผู้ชี้ขาดแต่ดูเหมือนว่าอาจมีความเห็นไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งอาจต้องการแก้ปัญหาง่ายๆ แบบเดียวกับนายพิธา คือให้นายปดิพัทธ์ ลาออกจากรองประธานสภาคนที่ 1แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอาลัย อาวรณ์ในตำแหน่งรองประธานสภา ตำแหน่งเดียวที่ได้มา จากการเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง และได้ สส.มากที่สุดถึง 151 คน ขั้นแรกมุ่งมั่นจะกวาดให้หมด ทั้งนายก รัฐมนตรี และประธานสภา แต่ได้มาแค่รองประธาน มีการปล่อยข่าวจะมีการเล่น เกมการเมือง ระดับเซียนเหยียบเมฆโดยให้พรรคขับนายปดิพัทธ์ ออกจากพรรค เพื่อรักษาไว้ซึ่งตำแหน่ง สส. และรองประธานสภา และทำให้หัวหน้าพรรคได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาอย่างสง่างาม แต่จะทำให้นายปดิพัทธ์เป็น สส.ของพรรคที่มี สส.เพียงคนเดียว แม้จะรักษาเก้าอี้รองประธานไว้ได้ แต่จะสง่างาม และสมศักดิ์ศรีหรือไม่เกมการเมืองเช่นนี้ จะทำให้พรรคก้าวไกลสูญเสียภาพลักษณ์อันดีที่เคยถูกสังคมยอมรับ เป็นพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ เป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรี ของ สส.และรัฐสภาไทย ในสายตาประชาคมโลกหรือไม่ เพราะเป็นเกมการเมืองที่ไม่โปร่งใส ไม่ตรงไปตรงมา.คลิกอ่านคอลัมน์ "บทบรรณาธิการ" เพิ่มเติม