ผมถูกทักลืมวันสารทจีน ดูปฏิทินสมัยใหม่ ไม่มีวันขึ้นแรม เปิดหนังสือประเพณี 12 เดือน ในประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรม เพื่อความอยู่รอดของคน (ปรานี–สุจิตต์ วงษ์เทศ บก. มติชน พ.ศ.2548) อ่านเรื่อง เดือนเก้า–ขอฝนให้ตกทั่วฟ้ายุคต้นกรุงศรีอยุธยา มีในกฎมณเฑียรบาลว่า การพระราชพิธี ตุลาภาร พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 มีพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ตอนหนึ่งว่า “เป็นสะเดาะพระเคราะห์ หรือ บำเพ็ญทานอย่างหนึ่ง”มีร่องรอยอยู่ในคำให้การขุนหลวงหาวัดสรุปโดยย่อว่า พิธีตุลาภาร คือเอาเงินนั้นชั่งให้เท่าพระองค์แล้วจึงสะเดาะพระเคราะห์ แล้วให้แก่พราหมณ์ในฤดูแล้งเดือนห้า มีพิธีขอฝนเพื่อทำนาทำไร่ ครั้นฝนตกแล้ว จนเข้าเดือนเก้า ต้องทำพิธีอีก เรียกพรุณศาสตร์ เพื่อขอฝนให้ตกทั่วฟ้า “ทุกนิคมอาณาเขตขอบขัณฑสีมา”มีบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ...ผมขอเลือกคัดตัดมาบางตอน...ครั้นถึงเดือนเก้า พราหมณ์คณาจารย์ก็พร้อมกันกระทำการพระราชพิธีพรุณศาสตร์ ตั้งเกยสี่เกยที่ลานหน้าพระเทวสถานหลวง ประดับด้วยฉัตรธงกันกระทำด้วยหญ้าคาตีนนก อ่างทองสัตตโลหะสี่อ่างอ่างหนึ่งเต็มไปด้วยเปือกปลูกชาติสาลีมีพรรณสอง คือข้าวเจ้าข้าวเหนียว สามอ่างนั้นใส่มูลดินอันเจือด้วยโคมัย ปลูกถั่วงาอ่าง หนึ่ง ปลูกม่วงพร้าวอ่างหนึ่ง ปลูกหญ้าแพรกหญ้าละมานอ่างหนึ่ง ลงยันต์พรุณศาสตร์ปักกลางอ่าง อ่างละต้น...บก.ปรานี สุจิตต์ บอกว่า พิธีพรุณศาสตร์ในหนังสือนางนพมาศ เป็น “นิยาย” แต่งในสมัยรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์ ฉะนั้น จะเห็นพิธีพราหมณ์ครอบงำเต็มไปหมดแต่ยังเหลือรากเหง้าเค้าหลงจากพิธีกรรมดั้งเดิมของชุมชนดึกดำบรรพ์ ฯลฯ อยู่บ้างในพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 5 ทรงพรรณนาพิธีพรุณศาสตร์ ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ว่า พิธีบางส่วนทำที่ทุ่งส้มป่อย แต่อยู่ข้างจะเร่อร่าหยาบคาย เพราะยกเอาพิธีของชุมชนชาวบ้านเข้ามาไว้ในพิธีหลวงเช่น มีขุดสระให้เป็นสัญลักษณ์ของหนองน้ำ แล้วมีรูปกบ เต่า ปู และปลาช่อน แทนความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกิน ที่เห็นชัดๆ ว่าเป็นพิธีดั้งเดิมของชุมชนชาวบ้านดึกดำบรรพ์ คือมีแห่นางแมวคือให้โขลน (คนเฝ้าประตูวัง) ร้องแห่ กับมี ปั้นเมฆ ดังพระราชนิพนธ์ว่าตรงหน้าสระออกไป ปั้นเป็นรูปเมฆสองรูป คือปั้นเป็นรูปบุรุษสตรีเปลือยกาย แล้วทาปูนขาวการที่จะปั้นต้องตั้งกำนล ปั้นพร้อมกันกับพิธีสงฆ์ มีบายศรีปากชามแห่งละสำรับ เทียนหนักเล่มละบาทแห่งละเล่ม เงินติดเทียนเป็นกำนลแห่งละบาท เบี้ย 3,303 เบี้ย ข้าวสารสี่สัด ผ้าขาวของหลวงจ่ายให้ช่างปั้นช่างเขียนนุ่งห่มช่างเหล่านั้น ต้องรักษาศีลในวันที่ปั้นปั้นเมฆของชุมชนดั้งเดิมของชาวบ้านดึกดำบรรพ์ มิใช่เป็นรูปแต่บุรุษสตรีเปลือยกายเท่านั้น ก็ต้องเน้นอวดอวัยวะเพศขนาดใหญ่ บางทีก็ให้ประกบร่วมเพศกันด้วยโดยปั้นดินเหนียวตั้งไว้กลางนา หรือกลางที่สาธารณะ เพื่อให้ผี เทวดา บนฟ้า เห็นถนัดผมอ่านเรื่องเดือนเก้า พิธีขอฝนตกให้ทั่วฟ้า ทบทวนความจำให้ตัวเอง...แล้วก็มโนไปสมัยโบราณ เทวดาบนฟ้าท่านทนดูการปั้นเมฆไม่ไหว จึงเทฝนลงมาให้ เรือกสวนไร่นาจึงผลิดอกออกผล อยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึงวันนี้แต่อาจเป็นเพราะรัชกาลที่ 5 ทรงทักว่า อยู่ข้างจะเร่อร่าหยาบคาย... จึงเลิกรากันไป คนรุ่นเราจึงไม่เคยเห็นกระบวนการปั้นเมฆกันอีกส่วนการโกหกโกไหว้ เอาตัวรอดทางการเมือง โบราณท่านเรียกการดั้นเมฆครับ ไม่เร่อร่าหยาบคาย เพียงแต่ต้องใช้วิชาหน้าด้าน เป็นตัวช่วยมากเท่านั้นเอง.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม