โอกาสที่จะได้ครองบัลลังก์ของ “เจ้าชายวิลเลียม” และ “เจ้าชายจอร์จ” จะมากน้อยขนาดไหน ก็ขึ้นกับว่า “กษัตริย์ชาร์ลส์ที่สามแห่งสหราชอาณาจักร” จะเป็นกษัตริย์แบบไหน และสถาบันจะอยู่รอดหรือไม่รอดภายใต้รัชสมัยของพระองค์ “คลีฟ เออร์วิง” ผู้เชี่ยวชาญด้านราชวงศ์และเจ้าของหนังสือ “The Last Queen : How Queen Elizabeth II Saved the Monarchy” เคยทำนายไว้ตั้งแต่ควีนเอลิซาเบธที่สองยังมีพระชนม์ชีพอยู่ว่า ในรัชสมัยของกษัตริย์องค์ใหม่ ความจงรักภักดีของประชาชนชาวอังกฤษจะค่อยๆเสื่อมลง โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ไม่รักใคร่ผูกพันใดๆกับสถาบัน และดีไม่ดีสถาบันอาจล่มสลายไปก่อนที่ “เจ้าชายจอร์จ” จะได้รับไม้ต่อครองบัลลังก์ด้วยซ้ำ!!ด้านนักข่าวสายวังของอังกฤษ “เคที นิโคลล์” เขียนเล่าไว้ในหนังสือ “The New Royals : Queen Elizabeth’s Legacy and the Future of the Crown” ว่า “เจ้าชายจอร์จ” พระโอรสองค์โต พระชนม์ 10 ชันษา ของ “เจ้าชายวิลเลียม” เคยตรัสขู่พระสหายว่า “พ่อเราจะเป็นกษัตริย์ ระวังตัวไว้ให้ดี” “เจ้าชายจอร์จ” ทรงถูกฟูมฟักให้เข้าใจว่า วันหนึ่งพระองค์จะได้เป็นกษัตริย์ และเพียงเพื่อต้องการเอาชนะพระสหายที่ทะเลาะกันในโรงเรียน ก็ทรงหลุดปากขู่ว่า “พ่อเราจะเป็นกษัตริย์ ระวังตัวไว้ให้ดี”ทำไมเจ้าชายน้อยจึงหลงเชื่อว่าพระองค์มีความพิเศษเหนือใคร และวันหนึ่งจะได้เป็นกษัตริย์อังกฤษ จนกลายเป็นองค์รัชทายาทที่เอาแต่ใจตัวเอง จะดีกว่าไหมถ้าปล่อยให้ “เจ้าชายจอร์จ” ได้เติบใหญ่แบบเด็กทั่วไป แทนที่จะทรงโตมาท่ามกลางความสนใจของผู้คน และแบกความหวังไว้จนเต็มบ่าโดยไม่รู้ตัว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งพระบิดาและพระมารดาต่างก็พยายามกรอกหูพระโอรสทุกวันว่า วันหนึ่งในอนาคตจะต้องเป็นกษัตริย์ ฉะนั้น “เจ้าชายจอร์จ” จึงมีหน้าที่เตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับรับบทบาทสำคัญสิ่งที่สะท้อนออกมาคือการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะอึดอัดที่ตกเป็นเป้าสนใจของผู้คน และเต็มไปด้วยแรงกดดันถาโถมรอบทิศ ผิดกับพระขนิษฐาน้อย “เจ้าหญิงชาร์ลอตต์” ทรงร่าเริงแจ่มใส มั่นอกมั่นใจในตัวเอง และกล้าแสดงออกมาก ไม่ต้องแบกความหวังไว้เหมือนพระเชษฐา กระนั้น ก็ทรงเข้าใจถึงบทบาทของพระราชวงศ์ ที่ต้องช่วยกันทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน ทรงตระหนักดีว่าทรงเป็นใคร และมีบทบาทหน้าที่อย่างไรในสถาบัน การวางตัวรัชทายาทไว้ล่วงหน้าอาจไม่เหมาะกับยุคสมัยนิวนอร์มอล แรงกดดันยิ่งทวีคูณ เมื่อ “เจ้าชายจอร์จ” ทรงได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นรัชทายาทอันดับสอง ต่อคิวจากพระบิดา “เจ้าชายวิลเลียม” ซึ่งขยับขึ้นเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง หลังการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการของ “สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่สาม”นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ “โรเบิร์ต เลซี” ตีแผ่ไว้ในหนังสือ “Battle of Brothers” ว่า อันที่จริงแล้ว “เจ้าชายวิลเลียม” และ “เจ้าหญิงเคท” ทรงรอคอยเวลาที่เหมาะสมในการบอก “เจ้าชายจอร์จ” ให้ตระหนักถึงสถานะความเป็นว่าที่กษัตริย์ในอนาคต ซึ่งทรงตัดสินพระทัยบอกเรื่องนี้กับพระโอรสตอนครบ 7 ชันษา “เจ้าหญิงแห่งเวลส์” (เคท มิดเดิลตัน) เป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญที่ต้องการให้ “เจ้าชายจอร์จ” ได้มีโอกาสเติบโตเหมือนเด็กสามัญชนทั่วไปนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนจะเริ่มปลูกฝังให้เจ้าชายน้อยรู้จักหน้าที่และบทบาทของพระองค์ในอนาคตการที่ “เจ้าหญิงเคท” เติบโตมาในครอบครัวสามัญชนธรรมดา มีส่วนสำคัญมากในการช่วยฟูมฟักให้ “เจ้าชายจอร์จ” พร้อมสำหรับการเป็นว่าที่กษัตริย์ที่ดี ซึ่งสามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของสังคมอังกฤษได้ แหล่งข่าวสายวังเปิดเผยกับนิตยสารพีเพิลว่า “เจ้าชายวิลเลียม” และ “เจ้าหญิงเคท” พยายามบาลานซ์ระหว่างการปกป้อง “เจ้าชายจอร์จ” ให้มีโอกาสเติบโตแบบเด็กสามัญชนทั่วไปได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ต้องปลูกฝังให้ตระหนักถึงหน้าที่ในฐานะองค์รัชทายาทเนื่องจากเติบโตมาในครอบครัวสามัญชน ทำให้ “เจ้าหญิงเคท” มีส่วนอย่างมากในการช่วยพระโอรสปรับสมดุลในชีวิต ทรงให้ความสำคัญกับการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว และทรงหากิจกรรมใหม่ๆให้พระโอรสได้เรียนรู้เสมอ ทำให้ “เจ้าชายจอร์จ” ค้นพบตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร และเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่“เจ้าหญิงเคท” ทรงเผยว่า “เจ้าชายจอร์จ” โปรดกีฬาเกือบทุกชนิด และกำลังคลั่งไคล้กีฬารักบี้ ทุกครั้งที่ตามเสด็จพระบิดาพระมารดาไปชมการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆ จะทรงลุ้นทรงเชียร์อย่างออกรส เมื่อทีมที่เชียร์ชนะก็จะทรงยิ้มดีใจอย่างมีความสุข แต่หากเปลี่ยนเป็นพ่ายแพ้ ก็จะหน้าจ๋อยด้วยความเสียพระทัย เดือดร้อน “เจ้าหญิงเคท” ต้องทรงปลอบโยนพระโอรสให้คลายความเศร้าแม้จะมีพระพี่เลี้ยงคอยช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ “เจ้าหญิงเคท” มักจะทรงหาเวลาไปรับไปส่งพระโอรสพระธิดาที่โรงเรียนด้วยพระองค์เองเสมอ เพื่อใช้เวลาอันมีค่าร่วมกันตามประสาแม่ลูก เรียกได้ว่าการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นถือเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกของ “เจ้าหญิงแห่งเวลส์” ทรงทำหน้าที่พระมารดาได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับที่เป็นไอดอลของมนุษย์แม่ยุคใหม่.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ