เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา วันเดียวกับที่รัฐสภากำลังประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นั่นแหละ วงการบันเทิงก็ได้สูญเสียนักร้องลูกทุ่งที่โด่งดังมากในอดีตไปอีกคนหนึ่ง ได้แก่ พนม นพพร เจ้าของเพลง “ลาสาวแม่กลอง” ที่คนไทยรู้จักทั้งประเทศ เมื่อ 50 กว่าปีก่อนโน้นแม้พื้นที่ข่าวส่วนใหญ่ของสื่อต่างๆ จะเป็นเรื่องของการอภิปราย และผลการโหวตในรัฐสภาที่จบลงด้วยการปฏิเสธการเป็นนายกรัฐมนตรี ของ คุณ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ก็ยังพอมีเนื้อที่เหลือสำหรับการเสนอข่าวการเสียชีวิตของ พนม นพพร อยู่พอสมควรมีการรายงานถึงสาเหตุของการเสียชีวิตในวัย 77 ของเขา พร้อมกับลงประวัติค่อนข้างละเอียด นับตั้งแต่เรียนจบ ม.6 (ยุคเก่า) แล้วตัดสินใจอำลาบ้านเกิดที่ อ.พานทอง จังหวัดชลบุรี เข้ามาสมัครเป็นนักร้องลูกทุ่ง ของวงดนตรีลูกทุ่งต่างๆอยู่หลายวงก่อนจะโด่งดังราวพลุแตกด้วยเพลง “ลาสาวแม่กลอง” ขณะเป็นนักร้องอยู่กับวงดนตรี จุฬารัตน์ ของครู มงคล อมาตยกุลตามที่มีการบันทึกเอาไว้นั้น เพลง “ลาสาวแม่กลอง” แต่งโดยชาวจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ชื่อ เลิศ วงศาโรจน์ ใช้เวลาแต่งแค่ 2 วัน ขณะที่ไปเป็นทหาร(เรือ) เกณฑ์ที่สัตหีบ และขายลิขสิทธิ์ให้ เกษม สุวรรณเมนะ ในราคา 500 บาท ซึ่งต่อมามีการเรียบเรียงเสียงประสานให้ พนม นพพร เป็นผู้บันทึกแผ่นเสียงกลายเป็นเพลง “ดังเปรี้ยง” อย่างเหลือเชื่อยุคโน้นเพลงไทยสากล ไม่ว่าลูกกรุง หรือลูกทุ่งจะมีเพลงที่เกี่ยวกับ “ท้องถิ่น” เกี่ยวกับเมือง เกี่ยวกับจังหวัดที่ต่อมากลายเป็นเพลงโด่งดังในระดับชาติหลายต่อหลายเพลงเช่นเพลง สักขีแม่ปิง, มนต์รักดอกคำใต้, ท่าฉลอม, แสนแสบ, สาวผักไห่, รักจางที่บางปะกง, ลุ่มเจ้าพระยา, ลำนํ้าพอง, เชียงรายรำลึก, สาวอุบลรอรัก ฯลฯ เป็นต้นสำหรับเพลง “ลาสาวแม่กลอง” นอกจากจะให้ความรู้ทั่วๆไปเกี่ยวกับจังหวัดสมุทรสงครามแล้ว ยังสะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่น และกฎกติกาของการเกิดเป็นพลเมืองไทย คือต้องไปเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ และเนื่องจากแม่กลอง หรือสมุทรสงครามอยู่ติดทะเล ส่วนใหญ่จึงไปเป็นทหารเรือขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงประเพณีสงกรานต์ ซึ่งแม้จะเป็นประเพณีของคนไทยทั้งประเทศ แต่ที่สมุทรสงคราม มีความโดดเด่น และมีเอกลักษณ์เป็นการเฉพาะที่ วัดบ้านแหลม หรือวัด เพชรสมุทรวรวิหาร อันเป็นที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อบ้านแหลม เป็นที่เคารพบูชาของพี่น้องประชาชนในบริเวณดังกล่าวมานับเป็นร้อยๆปีอีกด้วย...จากท่วงทำนองที่ไพเราะ และเนื้อหาเป็นนิยายรักสั้นๆแฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ประกอบกับเสียงร้องที่นุ่ม กังวานของ พนม นพพร ส่งผลให้เพลงท้องถิ่น เพลงนี้กลายเป็นเพลงระดับชาติในที่สุดต่อมา พนม นพพร ยังร้องเพลงระดับจังหวัดอีกเพลง และกลายมาเป็นเพลงระดับชาติเช่นกัน ได้แก่ เพลง “ฮักสาวขอนแก่น” ที่มีหมอแคนและเสียงแคน “แล่นแตร” เป็นองค์ประกอบ ฟังแล้วสนุกสนานอยากไปเที่ยวขอนแก่นขึ้นมาทันทีนอกจากร้องเพลงแล้วตามประวัติระบุว่า พนม นพพร ยังแสดงภาพยนตร์ เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง ซึ่งช่วงหลังๆผมมิได้ติดตามข่าวมากนัก จึงไม่ทราบรายละเอียดแต่เฉพาะเพลง 2 เพลง คือ “ลาสาวแม่กลอง” กับ “ฮักสาวขอนแก่น” ผมก็เห็นว่าทรงคุณค่าเพียงพอที่จะบันทึกถึงการจากไปของ พนม นพพร ไว้เป็นเกียรติประวัติให้ผู้คนรุ่นหลังได้รับรู้ยุคนี้เป็นยุค “การท่องเที่ยว” ช่วยชาติ...เป็นรายได้หลักของชาติ ทำให้ลืมตาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำด้วยสาเหตุต่างๆมาตลอดผมก็ถือโอกาสในการจากไปของ พนม นพพร นักร้องที่ร้องเพลงสะท้อนการท่องเที่ยวอันเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง ถึง 2 เพลง...ฝากถึง ททท.หรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ช่วยจัดทำโครงการ “ท่องเที่ยวตามเสียงเพลง” อีกสักโครงการหนึ่ง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศที่ ททท.กำลังดำเนินการอย่างเข้มแข็งในขณะนี้หรืออย่างน้อยรวบรวมชื่อเพลงและเนื้อเพลงท้องถิ่นระดับฮิตๆเอาไว้รวมกัน จัดทำนิตยสาร “อนุสาร อสท.” ฉบับพิเศษสักฉบับก็จะขอบคุณยิ่งเพลงท้องถิ่นที่มีความหมายในเชิงท่องเที่ยวต่างๆเหล่านี้ นับวันจะค่อยๆหายไป...ฝากท่านผู้ว่าฯท่านใหม่ที่จะมารับงานต้นเดือนกันยายนนี้รับไว้พิจารณาด้วยก็แล้วกันครับ.“ซูม”อ่านข่าวเพิ่มเติม "เหะหะพาที"