ผมผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน นับตัวเป็น ส.ว.รุ่นพี่ ก็เฉียดจะ 80 ปีเข้าไปแล้ว ลุ้นผลเลือกนายกฯในสภามาถึงครึ่งทาง เห็นตัวเลข ส.ว. (วุฒิสมาชิก) ได้แค่ 5 คน ก็ปิดทีวี...รู้แล้ว ไม่มีลุ้นหลับตานึกถึงเนื้อตัวหน้าตา ส.ว.บางท่าน เคยคุย เคยเฉียดใกล้ ที่คุ้นเคยมาก เผลอมีความหวัง หลายคนที่ดูทางทีวี เออ! ที่โบราณว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ ก็คนพวกนี้เองชาวพุทธนั้น เมื่อทุกข์ก็หันหน้าเข้าวัดทำบุญแล้วพระท่านสวดมนต์ให้พร...ตามธรรมเนียม ก็ “กรวดน้ำ”หลวงพ่อวัดราชโอรส พระธรรมกิตติวงศ์ (สมณศักดิ์ ปี 2547) แนะนำไว้ในหนังสือคำวัด...กรวดน้ำ หมายถึงการรินน้ำจากภาชนะด้วยความตั้งใจ ปรารถนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อุทิศส่วนกุศลที่ทำไปให้แก่ผู้มีพระคุณกรวดน้ำ มีวิธีทำดังนี้ เตรียมภาชนะสำหรับกรวดใส่น้ำสะอาดไว้ มองไปที่พระทั้งแถว พระรูปแรก (มักเป็นองค์ที่นั่งเป็นลำดับสอง) ท่านเริ่ม อนุโมทนาด้วยบทว่า ยถา วารีวหา...นั่นคือเวลาที่จะเริ่มกรวดน้ำมือขวาจับภาชนะสำหรับกรวด มือซ้ายประคอง รินน้ำใส่ภาชนะที่รองรับ พร้อมทั้งตั้งใจนึกอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วรินน้ำไปจนกระทั่งพระรูปแรก ที่เริ่มยถา...ทอดสำเนียงอ่อนช้า เน้นเสียงสูง...จบพอพระรูปที่สอง ซึ่งก็คือพระรูปแรกที่นั่งหัวแถว...ขึ้นเสียงรับ สัพพี ติโย...พระทั้งแถวก็ประสานเสียงสวดรับตาม เราก็ต้องเทน้ำให้หมด...วางภาชนะประนมมือ ตั้งใจรับพรพระต่อหลวงพ่อวัดราชโอรส มีเกร็ดเล่าแถม...มีคำพูดเล่น “ยถา (สวด) ให้ผี สัพพี (สวด) ให้คน” หมายความว่า ตอนที่พระท่านว่า ยถา เป็นการให้ส่วนกุศลแก่คนตาย ตอนที่ว่า สัพพี เป็นการให้พรคนเป็นสำหรับผม ทุกครั้งที่กรวดน้ำ ใจก็มักจะนึกไปถึงเพลง สามหัวใจ จำได้กระท่อนกระแท่น สมยศ ทัศนพันธ์ ร้องราวๆปี 2499 “กรวดน้ำคว่ำขัน รักกันชาติเดียว”... แล้วก็ไปจบตรง “พ้นไปเสียที ไม่มีกรรมเวร”ลีลากรวดน้ำ ในเนื้อเพลง...ไม่ใช่การอุทิศส่วนบุญกุศล...เหมือนที่พระที่ท่านว่า...แต่เป็นกรวดน้ำแบบอโหสิกรรม...หรือปลงฟังตอน “คว่ำขัน รักกันชาติเดียว” ไปต่อที่ พ้นไปเสียที ไม่มีกรรมเวร...ชัดเลยความรู้สึกแบบ อโหสิกรรม หรือปลง...ก็ตรงกับ “อุเบกขา” คำสอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า น่าจะใช้กับท่าน ส.ว.ผู้ทรงเกียรติที่ผมเคยรักและนับถือได้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อธิบายไว้ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ว่าอุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปด้วยชอบหรือชัง ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปโดยธรรมหรือสมควรแก่เหตุนั้นความรู้จักวางเฉยดู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได้หรือในเมื่อเขาควรต้องได้รับผลอันสมควรแก่ความรับผิดชอบของเขาเองความวางทีเฉย คอยดูอยู่ ในเมื่อคนนั้นๆ สิ่งนั้นๆ ดำรงอยู่หรือดำเนินไปตามควรของเขา ตามควรของมันไม่เข้าข้าง ไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ไม่สอดแส่ ไม่จู้จี้สาระแน ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงผมทบทวนธรรมะ ข้ออุเบกขา ตั้งอุเบกขาในใจไว้แน่วแน่...กรรมใดใครก่อ ก็รับกรรมนั้น...นี่กระมัง...ตรงกับเนื้อเพลง “คว่ำขัน” สำหรับคนบางคนนั้น รักกันชาติเดียวก็เกินพอ ชาติหน้าขออย่าให้มาพบกันอีกเลย.กิเลน ประลองเชิง