ความรุนแรงทางเพศสำหรับ “เหตุข่มขืนในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน” เป็นภัยคุกคามที่เกิดในสังคมมานานแม้ “ประเทศไทย” กำหนดไว้ในกฎหมายให้เป็นความผิดอาญาโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตแต่ปัญหานี้ “กลับไม่มีท่าทีจะลดน้อยถอยลงเลยด้วยซ้ำ” แถมคงปรากฏเป็นข่าวรับรู้กันผ่านหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ไม่เว้นในแต่ละวัน แล้วนับวันพฤติกรรมการกระทำความผิดต่อ “เหยื่อ” ยิ่งมีแนวโน้ม โหดเหี้ยมรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกจากผู้หญิง คนชรา และเด็ก ที่มักตกเป็นเหยื่อถูกกระทำมากที่สุดแล้วยังปรากฏพบ “ผู้พิการถูกกระทำสูงขึ้น” เพราะเป็นบุคคลไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ “คนก่อเหตุก็ไม่ใช่คนอื่นไกล” ล้วนมักจะมาจากบุคคลในครอบครัว หรือผู้ใกล้ชิดมากกว่าคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ กลายเป็นภัยเงียบที่สร้างความสะเทือนใจให้กับสังคมไทยหลายกรณีในช่วงที่ผ่านมานี้สะท้อนให้เห็นว่า “บทลงโทษที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่คำตอบการแก้ปัญหาข่มขืนให้น้อยลงได้” ทำให้นำมาสู่การศึกษาทำวิจัย “ต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน” โดยมี รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล ให้ข้อมูลว่าปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในสังคมไทยตลอด 20 ปีมานั้น “อัตราการก่อเหตุไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย” หนำซ้ำกลับมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะเหตุข่มขืนที่มักเป็นข่าวนั้นมีเฉพาะ “คดีฆ่าข่มขืน หรือเด็กเล็ก–เยาวชนตกเป็นเหยื่อเท่านั้น” แต่ที่ผ่านมายังมีหลายคดีที่เกิดขึ้นแล้วไม่ถูกนำเสนอสู่สาธารณชนนั้นแม้ว่าคดีข่มขืนนี้ “มีโทษทางอาญาสูงสุดถึงประหารชีวิต” แต่ก็ไม่ทำให้ผู้กระทำความผิดเกรงกลัวหลาบจำเลยด้วยซ้ำ “แถมมีคดีเกี่ยวกับเพศที่รุนแรงกว่าเดิม” จนหลายกรณีสร้างความสะเทือนใจให้ประชาชน เช่น คดีข่มขืนทำให้เหยื่อเสียชีวิต พ่อ หรือคนในครอบครัวข่มขืนลูก และครูข่มขืนนักเรียนก็มีด้วยเช่นกันเหตุเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อเหยื่อทั้งสภาพร่างกาย และจิตใจที่ใช้เวลานานในการเยียวยาถ้าย้อนดูตั้งแต่ปี 2554 “มีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกข่มขืน 400 กว่าราย” นับจากนั้นในช่วงตลอด 10 ปีมานี้ก็พบตัวเลขผู้ตกเป็นเหยื่อสูงขึ้นปีละ 35 ราย หรือคิดเป็น 2.5 เท่า/ปี อายุน้อยที่สุดของการถูกล่วงละเมิดทางเพศลูบคลำจนสำเร็จความใคร่ 10 เดือน และเหยื่อถูกข่มขืน 1 ขวบ 8 เดือน ในปี 2566 เพียงแค่ 6 เดือนแรกมีผู้ถูกข่มขืนถึง 320 ราย ทว่าพิจารณารายละเอียดเชิงลึกกลับพบว่า “ผู้กระทำผิดมักเป็นคนที่รู้จัก หรือคุ้นเคย” นั้นก็แปลว่า “ความไม่ปลอดภัยสามารถเกิดขึ้นจากคนในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน” สิ่งนี้สะท้อนให้คนในสังคมเห็นถึงความจำเป็นสำคัญต่อการป้องกัน การแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเรา และการล่วงละเมิดทางเพศนี้เร่งด่วนก่อนหน้านี้ “เคยเป็นอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเรา รัฐสภา” ครั้งนั้นเน้นแก้ไขผู้กระทำผิด ฟื้นฟูเหยื่อ และแก้กฎหมายบางมาตรา ทำให้เห็นช่องโหว่การป้องกันมากมาย เพราะในฐานะเป็นนักอาชญาวิทยาที่ได้ศึกษาการป้องกันอาชญากรรมมักเกี่ยวกับ 3 เหลี่ยมอาชญากรรมฉะนั้น การก่ออาชญากรรมสำเร็จต้องมีองค์ประกอบจังหวะโอกาสผู้กระทำผิด เหยื่อ ถ้าป้องกัน 3 ส่วนนี้ได้อาชญากรรมทางเพศจะไม่เกิดขึ้นจึงนำมาสู่การทำวิจัย “โครงการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนฯ” เสนอผ่านเวทีร่วมสร้างสังคมไทยปลอดภัยจากความรุนแรง ด้วยวิจัยและนวัตกรรม โดย สนง.วิจัยแห่งชาติ (วช.)ในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเป้าหมาย 3 กลุ่มจากสถิติมักทำผิดมากกว่า50% คือ “กลุ่มครอบครัว” ตั้งแต่พ่อแท้ๆ พ่อเลี้ยง ลุง น้า พี่ชาย “กลุ่มชุมชน” มักมีข่าวข่มขืนเด็ก สตรี ในชุมชุนเดียวกันเสมอ “กลุ่มโรงเรียน” ที่ผู้ปกครองเข้าใจว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย หรือเป็นบ้านหลังที่สองในการสร้างองค์ความรู้ให้แก่เด็กนักเรียนแต่บ่อยครั้งก็เกิดเหตุ “บุคลากรในโรงเรียน” ไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน มีการกระทำการล่วงละเมิดทางเพศเพื่อนด้วยกันเองส่วนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายนี้ “คัดเลือกจังหวัดสีแดงสถิติการข่มขืนกระทำชำเราสูง” ในแต่ละภูมิภาค 24 จังหวัด อันมีประชากรมาก และเป็น พื้นที่เศรษฐกิจรวมทั้งสิ้น 2,420 ครอบครัว แล้วนำข้อมูลตัวอย่างที่ได้จากผลการศึกษาวิจัยมาสร้างเครื่องมือ “ผลิตละครสั้น” เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญของปัญหานี้ด้วยวีดิทัศน์ภาพรวมความปลอดภัยจากการข่มขืน 4 เรื่อง นำเสนอผ่านโซเชียลฯหลายช่องทาง กล่าวคือ เรื่องแรก...“ครอบครัวอุบอุ่น” มุ่งเน้นในการป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โดยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดี และไม่มีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงกับการล่วงละเมิดทางเพศทั้งยังสอนให้ลูกปกป้องสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง และเคารพสิทธิผู้อื่น การสร้างบรรยากาศความไว้วางใจให้เด็กมีโอกาสได้พูดคุยปรึกษาปัญหา ขอคำแนะนำได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษาที่เหมาะสม ถัดมาคือ...“เรื่องโรงเรียนที่รัก” เป็นการนำเสนอจุดเสี่ยงความไม่ปลอดภัยในโรงเรียน โดยเฉพาะการถูกคุกคามทางเพศมักเกิดขึ้นบริเวณสถานที่ลับตาคน เช่น บันได ทางเดิน ห้องน้ำ ห้องเรียน และ “เรื่องชุมชนเป็นมิตร” เน้นให้ชุมชนช่วยกันสอดส่องดูแลการทำกิจกรรมของบุตรหลาน เพื่อป้องกันการมั่วสุมทำกิจกรรมไม่เหมาะสมปรับปรุงจุดเปลี่ยวในชุมชนให้ “มีไฟฟ้าส่องสว่าง” เพื่อลดพื้นที่เสี่ยงต่อการรวมกลุ่มมั่วสุมยาเสพติด แล้วที่ผ่านมาหลายชุมชนต่างร่วมมือกันพัฒนายกระดับมาตรการป้องกันให้ชุมชนตัวเองให้มีความปลอดภัยดีขึ้นอีกทั้งยังมี “เรื่องกฎหมายข่มขืนทุกคนต้องรู้” ด้วยการแปลงตัวบทกฎหมายให้ประชาชนสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับทางเพศ การคุกคามทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ และสรุปเนื้อหาการกระทำผิดในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ที่ล้วนเป็นความผิดทางอาญามีโทษตามกฎหมายแทบทั้งสิ้นนอกจากนี้ยัง “สร้างแอปพลิเคชัน Be Brave” เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ให้เจ้าหน้าที่รัฐ เอกชน รวมถึงประชาชนที่เป็นผู้ที่เข้าใช้งาน อันเป็นช่องทางในการติดต่อประสานข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ และการข่มขืนแอปพลิเคชันนี้มีการบรรจุหนังสั้น 4 ตอน เบอร์โทรศัพท์ทุกหน่วยงานรัฐในการขอความช่วยเหลือกรณีเหตุฉุกเฉิน ความรู้งานวิจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ “โดยเฉพาะแผนที่ความปลอดภัย Safety Map” เป็นแผนที่ขอความช่วยเหลือ “กด SOS” จะบอกพิกัดผู้ใช้งาน และระบบจะส่งไลน์ติดต่อยังบุคคล หรือสถานีตำรวจใกล้ที่สุด“สิ่งสำคัญเมื่อกด SOS ในฟังก์ชันแอปพลิเคชัน Be Brave บริเวณนั้นจะถูกบันทึกให้เป็นพื้นที่จุดเสี่ยงเหตุร้าย ในอนาคตสามารถพัฒนาการถูกบันทึกเตือนบุคคลอื่นให้ระวังอันตรายได้ เบื้องต้นส่งแอปพลิเคชัน Be Brave ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำไปปรับใช้ในการป้องกันปัญหาอาชญากรรมต่อไป” รศ.ดร.สุณีย์ว่าสุดท้ายนี้การสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน และชุมชนนี้ส่วนหนึ่งเข้าไปเก็บข้อมูลจากผู้ต้องขังคดีข่มขืนในเรือนจำ สำหรับศึกษาปัญหาสาเหตุให้ครบรอบด้านแล้วงานวิจัยจะได้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อหวังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยออกนโยบายสนับสนุนขับเคลื่อนต่อยอดขยายผลโครงการวิจัยนี้เพื่อนำไปสู่ยัง “ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน” ในการสร้างความเข้มแข็งให้เกิดเป็นพลังสังคมต่อต้านยุติความรุนแรงในทุกมิติที่คงต้องฝาก “วช. และรัฐบาลชุดใหม่” ทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในสังกัดภาครัฐ และภาคประชาสังคม ที่มีความพร้อมในการเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องเพศอย่างจริงจังทั้งหมดนี้คือ “นวัตกรรม” สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ให้ “สังคมไทย” ตระหนักรู้พฤติกรรมสุ่มเสี่ยงการล่วงละเมิดทางเพศ อันจะเป็นเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน.