ข้อเขียนมากมายในหนังสือเก่า พบในตำหนักจิ่งหยวนกง พระราชวังโบราณกรุงปักกิ่ง...หวนซูเต้าหยิน ขุนนางเก่าแห่งราชวงศ์หมิง เขียน โดยเฉพาะ “เรื่องเล่าของเจ้าหนอน” ผมอ่านกี่ครั้งก็ยังจับใจทุกครั้ง(สายธารแห่งศรัทธา บุญศักดิ์ แสงระวี เรียบเรียง สำนักพิมพ์ ก.ไก่ พ.ศ.2535)ยังมีเจ้าหนอนตัวหนึ่ง ตอนเกิดมันยังไม่รู้ว่าเป็นหนอนพันธุ์ไหน...ลำตัวที่แสนสั้น เต็มไปด้วยขนตั้งแต่หัวจรดหาง ใครอื่นมองไม่รู้ แต่ละครั้งที่มันดูตัวเอง นอกจากความสลดหดหู่ มันยิ่งแสนจะอับอายขายหน้าแต่...ปู่เคยบอกให้พยายามอดทนเอาไว้...ทั้งร่างที่แสนจะน่าเกลียดนี้ จะกลับกลายเป็นสัตว์แสนสวย...ตัวหนึ่ง...เจ้าหนอนจึงกัดฟันอดทน รอวันที่น่าชื่นใจวันนั้นแล้ววันหนึ่ง เจ้าหนอนก็พ่นใยออกจากปาก หุ้มห่อตัวเอง เวลานั้น มันกลายเป็นดักแด้ ไม่กิน ไม่กระดุกกระดิก นี่ควรเป็นวันเวลาที่น่าเบื่อสำหรับสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ เจ้าดักแด้รู้ว่า วันเวลาที่รอคอยใกล้เข้ามาไม่นาน...เจ้าดักแด้ก็เริ่มขยับตัว กัดรังไหมที่หุ้มห่อตัวออกเป็นรูเล็กๆ จนพอมีช่องว่างให้มันพอดิ้นได้ไม่ง่าย...งานนี้เป็นงานหนักต้องใช้เรี่ยวแรง เจ้าดักแด้ดิ้นสุดกำลัง แต่ก็ยังออกจากรูไม่ได้สักทีหลายครั้งมันหมดแรง เจ้าดักแด้ก็พัก รอจนหายเหนื่อย มันไม่ท้อถอย บอกตัวเองเราต้องพยายามๆ แล้วก็เริ่มดิ้นใหม่ในที่สุดในการดิ้นครั้งสุดท้าย เจ้าดักแด้ก็หลุดออกมามันเพิ่งเห็นว่ามีปีกคู่หนึ่งงอกออกมาจากลำตัว ปีกงอกเมื่อไรนะ! มันถามตัวเอง แล้วก็ตอบได้เอง ก็คงงอกตอนที่มันนิ่ง ไม่กระดุกกระดิก ในรังไหมนั่นปะไร!มันลองขยับปีก...อ๊ะ! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มันพาร่างบินได้...เรื่องก็เป็นเช่นที่ปู่สอนไว้...บัดนี้ เจ้าหนอนน่าเกลียดน่ากลัวตัวเดิม ที่กลายเป็นดักแด้ไปพักใหญ่ กลายเป็นผีเสื้อแสนสวย โบยบินขึ้นฟ้าใครเห็นใครก็รัก ใครเจอใครก็ชมวงจรชีวิตเจ้าหนอน ไปสู่ดักแด้ จนเป็นผีเสื้อ...หวนซูเต้าหยิน... เปรียบเทียบกับฝูงปลาที่แหวกว่ายสบายอกสบายใจในน้ำดูมันก็น่าจะสบายใจเสียจริงๆแต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าปลาไม่ได้แหวกว่ายไปตามน้ำอย่างสบายอกสบายใจ ดูมันซี! ทุกตัวมันว่ายทวนน้ำ ว่ายอย่างสุดแรง สุดกำลังที่เป็นเช่นนั้น เพราะหากปลาไม่ว่ายทวนน้ำ มันจะถูกกระแสน้ำพัดขึ้นไปตากแห้งตายบนริมฝั่ง วิถีของปลาจะมีก็แต่การว่าย และว่ายไม่หยุดยั้ง...มันจึงรักษาชีวิตให้อยู่รอดได้เรื่องเล่าชีวิตเจ้าหนอน และปลา จึงเป็นที่มาของภาษิตรากผัก...ที่ผู้เฒ่าผู้แก่สอนลูกหลานด้วยภาษาพูดง่ายๆ “มีแต่ได้ยินหรือพบเห็นสิ่งที่ขัดอกขัดใจเสมอๆ การศึกษาและความประพฤติจึงจะมีความก้าวหน้า ถ้าหากได้ยินได้พบแต่สิ่งที่ราบรื่นทั้งสิ้น ก็เหมือนเราพาตัวเองไปแช่อยู่ในบ่อยาพิษ ย่อมจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง”ขัดเกลาเป็นภาษาร้อยแก้ว...ก็อาจเป็นว่า “โสตสำเหนียกเสียงขัดหูอยู่เป็นนิจ จิตใจมักมีเรื่องขัดข้องเป็นอาจิณ นี่คือหินฝนทองแห่งการฝึกฝนคุณธรรมความดี”หากทุกถ้อยคำล้วนเสนาะหู ทุกเรื่องล้วนสมใจ ก็เท่ากับฝังชีวิตนี้ลงกับพิษร้ายจบเรื่องเล่าของเจ้าหนอน...แค่นี้แหละครับ...หากมีใครสงสัย ผมตั้งใจเขียนถึงใคร...ผมจะบอกว่า ใครก็ได้...ที่กำลังฟันฝ่าขึ้นสู่ชั้นฟ้า...ซึ่งไม่น่าจะหมายถึงคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คนเดียว.กิเลน ประลองเชิง