เป็นระยะเวลาหลายเดือนที่มีการปล่อยข่าวออกมาเรื่อยๆว่า “กองทัพยูเครน” กำลังจะปฏิบัติการตีโต้ครั้งใหญ่เพื่อทวงดินแดนจากรัสเซียผู้รุกรานหวังย้อนรอยปฏิบัติการตีโต้ Counter Offensive ที่จังหวัดคาร์คิฟ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2565 ที่กองทัพยูเครนประสบความสำเร็จในการชิงพื้นที่คืนมาได้กว่า 12,000 ตารางกิโลเมตร ปลดปล่อยหมู่บ้านและเมืองต่างๆกว่า 500 แห่งทลายวงล้อมเมือง “คาร์คิฟ” ผลักดันให้กองทัพรัสเซียล่าถอยกลับไปยังพรมแดนตามปกติ รวมถึงถอยกลับไปในจังหวัดลูฮานสก์ ทางภาคตะวันออก ใช้เวลาปฏิบัติการทั้งหมด 3 สัปดาห์ 5 วัน ซึ่งจากข้อมูลของฝั่งยูเครนรายงานว่า การโจมตีดังกล่าวสร้างความบอบช้ำอย่างหนัก แก่กองพลรถถังการ์ดที่ 1 และกองพันที่ 11 ของรัสเซีย สูญเสียทหารกว่า 16,000 นาย รถถังยานเกราะพังเสียหายหลายร้อยคันจุดประกายความหวังแห่งชัยชนะและความสงสัยแก่ชาวโลกว่ากองทัพเบอร์ 2 ของโลกเป็นแค่เปลือกนอก จนรัสเซียต้องปรับทัพขนานใหญ่ สั่งถอนกำลังทั้งหมดออกจากพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำนีเปอร์ ในแนวรบจังหวัดเคียร์ซอน ภาคใต้ ยอมสละที่มั่นที่ไม่ยั่งยืน ชะลอโมเมนตัม ของฝั่งยูเครน แก้ยุทธศาสตร์เป็นการทำสงครามเชิงรับ สร้างปราการป้องกัน 5 ชั้น ในจังหวัดซาโปริชเชีย จังหวัดรอยต่อระหว่างคาบสมุทรไครเมียกับโดเนตสก์ ขึงแนวป้องกันตลอดลำน้ำนีเปอร์ฝั่งตะวันออก ในจังหวัดเคียร์ซอนเหตุการณ์ดังกล่าวตามมาด้วยจุดยืนแบบ All or Nothing ของรัฐบาลยูเครน ขีดเส้นให้รัสเซียต้องยอมจำนนแบบไร้เงื่อนไข คืนดินแดนยูเครนทั้งหมด รวมถึงคาบสมุทรไครเมียที่ถูกรัสเซียผนวกไปในปี 2557 แต่ถ้าไม่ยกธงก็จะรบต่อไป จนกว่าจะทวงแผ่นดินยูเครนกลับมาครบทุกตารางนิ้วซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดในมุมมองของผู้นำที่ขาดประสบการณ์การเมืองโลกอย่าง “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” เพราะในขณะนั้นยูเครนเพิ่งได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ระดับแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ประกอบกับ “ท่อน้ำเลี้ยง” แบบไร้เพดาน ของ “มหาอำนาจสหรัฐอเมริกา” และพันธมิตรชาติตะวันตกที่หลั่งไหลมายังยูเครนอย่างไม่หยุดหย่อนอยากได้อะไรเพียงแค่เอ่ยปาก จิ้มเลือกเอาตามใจชอบ ขอเพียงไม่คุกคามแผ่นดินดั้งเดิมของรัสเซียเป็นพอ อาวุธต่างๆทั้งรถยิงจรวด รถปืนใหญ่ ยานเกราะหรือรถถัง ทั้งหมดถูกลำเลียงมาให้ภายในระยะเวลาไม่นานเกินรอ พ่วงด้วยการ์ดอวยพรคำหวาน “เราจะสนับสนุนยูเครนตราบนานเท่านาน”อย่างไรก็ตาม บทเรียนในประวัติศาสตร์สงครามแสดงให้เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า หากไม่เหนือกว่าจนสามารถบดขยี้ได้อย่างราบคาบก็อย่าต้อนให้จนมุม ทหารที่ไม่มีอะไรจะเสียและพร้อมสู้ตายนั้นอันตรายยิ่งกว่าสิ่งใดเพราะสิ่งที่ตามมาหลังจากปิดประตูเจรจา คือการเปลี่ยนรูปแบบการทำศึกจากการ “รุกชิงดินแดน” เป็นการ “ทำลายล้างข้าศึก” อย่างชัดเจน กองทัพรัสเซียเริ่มปฏิบัติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานยูเครน ตัดน้ำตัดไฟ พร้อมทำการถล่มอาวุธยุทโธปกรณ์หลังแนวรบไปเรื่อยๆ ด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ที่ปล่อยจรวดพิสัยไกลทำลายเป้าหมายจากจุดที่ระบบต่อต้านอากาศยานของยูเครนเอื้อมไปไม่ถึงและกองเรือรบในทะเลดำการดำเนินการดังกล่าวกระทำควบคู่ไปกับการบุกแบบค่อยเป็นค่อยไป ดึงทหารประจำการกลับไปอยู่แนวหลังเพื่อพักฟื้น ทดแทนด้วยทหารรับจ้างหน่วย “วากเนอร์” ที่ใช้กลยุทธ์อันร้ายกาจ เกณฑ์ไพร่พลจากเรือนจำมาเป็นกำแพงมนุษย์รับกระสุน ก่อนใช้กำลังหัวกะทิเข้าบดขยี้หลังตรวจสอบว่าฝ่ายยูเครนยิงมาจากตำแหน่งใด นำไปสู่การชิงชัยที่สมรภูมิ “บาคห์มุท” ในจังหวัดโดเนตสก์ ที่เซเลนสกีหลงกลกระโดดเข้าใส่โดยไม่ฟังคำทัดทานจากสปอนเซอร์ใหญ่สหรัฐอเมริกา ประกาศให้บาคห์มุทเป็นเมืองป้อมปราการระดับ “สตาลินกราด” ที่โซเวียตห้ำหั่นกับนาซีเยอรมนีในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ยูเครนจะไม่ยอมให้เมืองแตกพ่ายโดดเด็ดขาด สั่งทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้รัสเซียยึดเมืองได้ก่อน “วันแห่งชัยชนะ” วันสำคัญของชาวรัสเซีย 9 พ.ค.แม้ฝ่ายยูเครนจะระบุว่า อัตราการเสียชีวิตในสมรภูมิบาคห์มุทคือ ยูเครนตาย 1 รัสเซียตาย 7.5 หรือรัฐบาลชาติตะวันตกที่ออกมาระบุว่า รัสเซียเสียชีวิตที่เมืองนี้หลักแสนนายแต่ผลที่ตามมาคือความบอบช้ำจากการสู้ศึกที่ “ไม่จำเป็น” มีรายงานว่าในช่วงท้ายของศึกชิงบาคห์มุท หน่วยรบหัวกะทิอย่างอาซอฟและคราเคน ไปจนถึงหน่วยยานเกราะและรถถังถูกนำมาละลายโดยใช่เหตุ เพียงเพื่อที่ผู้ใหญ่บางรายต้องการที่จะหยามหน้ารัสเซียและทั้งนี้ทั้งนั้น การสูญเสียเมืองบาคห์มุท ยังมาพร้อมกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของบรรดาผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของยูเครน เริ่มมีการเรียกร้องให้เจรจากันใหม่นำทีมโดยสหรัฐฯ-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมนี พ่วงด้วยการรับลูกจากทางรัสเซีย เสนอให้ตั้ง “เขตกันชน” ที่สหประชาชาติเป็นคนดูแล กั้นกลางระหว่างยูเครนกับ 4 จังหวัดที่รัสเซียผนวกไปคือ เคียร์ซอน-ซาโปริชเชีย-โดเนตสก์-ลูฮานสก์เป็นการเปิดประเด็นที่เหมือนกับเซเลนสกีไม่มีตัวตน ทุกคนมองข้ามหัวไปเรียบร้อย และอาจเป็นคำตอบว่าทำไมช่วงเดือนที่ผ่านมาผู้นำยูเครนถึงต้องเดินสายประเทศสปอนเซอร์รอบใหม่ ขออาวุธเพิ่มเพื่อทำตามแผนการ ขับไล่รัสเซียออกจากยูเครนอย่างสมบูรณ์ พร้อมประกาศว่า การตีโต้ของยูเครนที่ชะลอมาหลายเดือนจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นานเกินรอ ส่วนการเจรจาใดๆจะทำให้รัสเซียมีเวลา “ชาร์จแบต” สำหรับการทำสงครามครั้งใหม่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานที่บ่งชี้ได้ว่า กองทัพยูเครนได้เริ่มปฏิบัติการบุกที่รอคอยแล้ว หน่วยยานเกราะระดับกองพล (พร้อมการเปิดตัวรถถังเลพเพิร์ด 2A4 จากเยอรมนี) ทำการโจมตีแนวรบในจังหวัดซาโปริชเชีย ทางภาคใต้ โดยนักวิเคราะห์ความมั่นคงประเมินว่า ดูจากทิศทางแล้ว ยูเครนคงต้องการเข้าประชิดเขตแดนไครเมียและตัดการเชื่อมต่อทางบกของไครเมียกับจังหวัดโดเนตสก์ (ตามแผนที่ประกอบ)อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ถือเป็นการโจมตีที่เดิมพันสูงยิ่งนัก ไม่ว่าด้วยปัจจัยที่รัสเซียมีเวลาเตรียมตัวสร้างเครือข่ายป้องกัน รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่ายูเครนต้องบุกแน่เพียงแต่จุดไหน หรือที่มีข่าวปล่อยมาเป็นระยะๆว่ารัฐบาลชาติตะวันตกขอดูผลลัพธ์การตีโต้ เพื่อประเมินว่าจะเดินหมากสงครามเช่นไรต่อไปบุกสำเร็จก็ดีไป แต่หากล้มเหลวขึ้นมา ก็น่าเป็นห่วงว่าจะยังต้องมีเซเลนสกีอยู่ในสมการหรือไม่ ในอดีตเหตุการณ์ “เปลี่ยนตัว” ใช่ว่าไม่เคยมี...โง ดิญ เสี่ยม ชื่อนี้หลายคนอาจคุ้นเคยครับ.วีรพจน์ อินทรพันธ์