โอกาสเจอไวรัสกลายพันธุ์แบบ “โอมิครอน” ในอนาคต? เป็นหนึ่งในคำถามสำคัญที่หลายๆคนอยากจะรู้รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ให้ข้อมูลว่า หากย้อนกลับไปหลังจบระลอกเดลต้าช่วงปลายปี 2021 เกิดความสูญเสียมากมาย แต่ ณ ขณะนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าไวรัสโรคโควิด-19 จะมีกลายพันธุ์อย่างมากจนเกิดสายพันธุ์ “โอมิครอน” ขึ้นมา จนทำให้เกิดการติดเชื้อมากกว่าเดลต้าหลายเท่าและ..ทำให้เกิดการป่วย ทุพพลภาพ และสูญเสียชีวิตมากกว่าระลอกเดลต้าด้วยล่าสุดทาง CNN รายงานข่าวว่ามีการสอบถามอย่างไม่เป็นทางการจากทางทำเนียบขาวไปยังกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินโอกาสที่จะเจอการกลายพันธุ์แบบโอมิครอนในอนาคตอันใกล้ 2 ปีข้างหน้าน่าสนใจว่า...กลุ่มผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ประเมินไว้อยู่ราว 20% ใน 2 ปีข้างหน้า แม้จะมีบางคนที่ประเมินไว้สูงราว 40% ก็ตาม ฉายภาพสะท้อนสถานการณ์ “โควิด–19”...เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวอเมริกัน ข้อมูลจาก Topol E (Cr: Wall Street Journal) ชี้ให้เห็นผลการประเมินรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวอเมริกัน เปรียบเทียบระหว่างปี 2019 ก่อนการระบาด และปัจจุบัน 2023 สาระสำคัญคือ...คนมีการย้ายที่อยู่จากเมืองที่แออัดไปสู่ชนบท ป่าเขา หรือชานเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองที่เคยมีการระบาดมาก เช่น นิวยอร์ก...การปรับเปลี่ยนระบบการทำงานที่เอื้อให้มีการทำงานแบบทางไกลนั้น เอื้อให้เกิดการย้ายที่อยู่กันมากขึ้นด้วยสำหรับการไปกินดื่มของชาวอเมริกันนั้น พบว่าใช้บริการแบบส่งด่วนมากขึ้น แต่ไปตามบาร์ และนั่งกินในร้านแบบมีพนักงานบริการ (full service) ลดลงราว 10%ในส่วนการจับจ่ายซื้อสินค้าต่างๆนั้น ภาพรวมพบว่ามีมูลค่าของการใช้บริการแบบไป pick up, delivery, และส่งของถึงบ้าน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนการระบาดถึง 4 เท่า และสัดส่วนของชาวอเมริกันที่ไปพบแพทย์เพื่อรับการดูแลรักษานั้นน้อยกว่าช่วงก่อนที่มีการระบาด โดยมีการใช้บริการแบบทางไกลเทเลเฮลท์มากขึ้นสำหรับ “ประเทศไทย” ด้วยสถานการณ์ระบาดที่ยังมีการติดเชื้อกันมาก ในขณะที่สังคมมีระดับการป้องกันตัวที่มีแนวโน้มลดลง ย่อมประเมินได้ว่าจะมีการติดเชื้อแพร่เชื้อกันไปต่อเนื่อง ป่วย ป่วยรุนแรง เสียชีวิต และมีภาวะผิดปกติระยะยาวอย่าง “ลองโควิด” ได้ด้วย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ รศ.นพ.ธีระ ย้ำว่า การป้องกันแบบทุติยภูมิ (Secondary prevention) จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต กล่าวคือ...นอกจากการป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ หรือไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ ที่เป็นการป้องกันระดับปฐมภูมิ (Primary prevention) ซึ่งทำได้ในคนที่มีความใส่ใจสุขภาพแล้วควรใช้ชีวิตประจำวัน โดยฝึกตนเองให้หมั่นสังเกต ประเมินตนเอง ลูกหลาน คนในครอบครัว คนในที่ทำงาน หรือคนรอบข้างที่รู้จักมักจี่หากมีอาการไม่สบายก็แนะนำให้ไปตรวจรักษาให้เร็ว และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ป้องกันการแพร่เชื้อติดเชื้อในที่นั้นๆ เพื่อช่วยตัดวงจรการระบาดเป็นกลุ่มก้อน“ภาระโรคเรื้อรัง” ที่มีความรู้ทางการแพทย์พิสูจน์ให้เห็นกันมาตลอดแล้วว่าสัมพันธ์กับการติดเชื้อโรคโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมอง ระบบประสาท หัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ฯลฯน่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ตามมาในอนาคตสำหรับระบบสุขภาพของแต่ละประเทศ“คงจะดีที่สุดหากปรับวิถีการใช้ชีวิต มีสติ ไม่ประมาท ลดพฤติกรรมหรือกิจกรรมเสี่ยง เลี่ยงสถานที่เสี่ยง..การใส่หน้ากากป้องกันตัวเวลาใช้ชีวิตนอกบ้าน จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวลือ...ที่อาจทำให้คนไม่น้อยเข้าใจผิด ซึ่งความจริงไม่ใช่บอกว่า “pandemic” หรือ...การระบาดใหญ่ทั่วโลกสิ้นสุดและยังแถลงเตือนด้วยว่าประเทศต่างๆ ควรป้องกันและควบคุมให้ดี อย่าเข้าใจผิดแล้วหาเรื่องลดการ์ดลงนะครับ“หากประมาท สถานการณ์อาจเละเทะในอีกไม่นาน ขอให้ดูแลป้องกันตัวให้ดีนะครับ ใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงความปลอดภัย ย้ำดังๆ ด้วยความหวังดี” ประเด็นนี้แม้ว่า WHO จะลดระดับโควิด-19 ลงจาก Public Health Emergency of International Concern แล้ว...เป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้เนื่องจากมีการเปลี่ยนลักษณะการรายงานของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงจำนวนเสียชีวิตโดยรวมที่ลดลง การได้รับวัคซีนที่มากขึ้นและแรงกดดันในด้านเศรษฐกิจของประเทศต่างๆเรื่องท้าทายคือ หลังลดระดับเตือนภัยลงแล้ว จะเป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ว่าแต่ละประเทศจะรับมือ และจัดการสถานการณ์ระบาดที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดทั้งระบบเฝ้าระวัง การกระตุ้นเตือน ให้ความรู้ประชาชน การควบคุมป้องกันโรค การเข้าถึงบริการ ยา วัคซีน รวมถึงการจัดการคน เงิน และทรัพยากรอื่นที่จำเป็นกระนั้นแล้วต้องไม่ลืมว่า...“Pandemic is not over”... โรคโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลกยังไม่จบ“ระวัง ไม่ควรหลงเชื่อคำลวงที่แพร่กระจายในโซเชียลที่ตีขลุมอย่างผิดเพี้ยนว่าการยุติภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศขององค์การอนามัยโลก เป็นการประกาศทางการว่าการระบาดทั่วโลกสิ้นสุดลง”เพราะ...จะทำให้เข้าใจผิด ส่งผลต่อการรับรู้ความเสี่ยงและภัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน“การป้องกันตัว ลดความเสี่ยงระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน ยังมีความสำคัญมาก...เลี่ยงที่แออัด ระบายอากาศไม่ดี ไม่ควรแชร์ของกินของใช้กับผู้อื่นนอกบ้าน การใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแพร่เชื้อลงไปได้มาก” ย้ำว่า...ทางองค์การอนามัยโลกได้เตือนไว้อย่างชัดเจนว่า การระบาดทั่วโลกยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่กังวล และย้ำเตือนให้ระวังคือ...“The worst thing any country could do now is to use this news as a reason to let down its guard, to dismantle the systems it has built, or to send the message to its people that COVID-19 is nothing to worry about”แปลความว่า...“จะเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด หากประเทศใดนำการประกาศยุติภาวะฉุกเฉินนี้ไปลดการป้องกันตัวลง หรือไปยกเลิกระบบการรับมือกับโรคระบาด หรือส่งสารไปยังประชาชนให้เข้าใจผิดว่าไม่ต้องกังวลกับโรคโควิด–19 แล้ว”สำหรับไทยเราควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และตระหนักถึงสถานการณ์ระบาดของเราว่ายังมีการติดเชื้อมาก ไม่ควรหลงไปกับคำลวง ที่ทำให้ประมาท“ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวเสมอ...ความใส่ใจสุขภาพของตัวเราจะเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงทั้งของเรา ครอบครัว คนรอบข้าง และสังคม”.