วันนี้ “ค่าไฟฟ้า” กำลังกลายเป็น “ภาระ” ของคนไทยทั้งประเทศ จากการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ทำให้ราคาไฟฟ้าถูกบิดเบือนให้แพงขึ้น ไม่ใช่ก๊าซแพงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากนโยบายพลังงานของ กพช.แม้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะลดค่าไฟลงมาหน่วยละ 7 สตางค์ จาก 4.77 บาท เหลือหน่วยละ 4.70 บาท ก็ไม่ได้ทำให้ค่าไฟถูกลง ไม่ได้ลดให้ฟรีด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ได้บวกเป็นค่าหนี้ไฟที่จ่ายยาวขึ้นอีก 4 เดือนไว้แล้วสำนักข่าวบีบีซีไทย ได้เจาะลึก “เส้นทางค่าไฟแพง” มาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จากค่า FT ที่เพิ่มขึ้น โดยสัมภาษณ์ คุณคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ กกพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนองนโยบาย คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน เปิดเผยว่า ในอดีตโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเอกชน (SPP) ไม่ได้มีมากเท่าปัจจุบัน แต่หลังปี 2558 (หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปฏิวัติในปี 2557) ได้มีการกำหนดนโยบายพลังงานให้รับซื้อจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กเพิ่มขึ้น สัญญาซื้อขายไฟฟ้าส่วนนี้เป็น “สัญญาที่ต้องซื้อ (Must Take)” ทำให้โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก SPP เติบโตตั้งแต่หลังปี 2558 และถือเป็นฐานของการคิดค่าไฟฟ้า นี่คือต้นเหตุที่ค่าไฟแพงในปัจจุบันเลขาธิการ กกพ. กล่าวว่า ปี 2558 โรงไฟฟ้า SPP ยังไม่ค่อยเยอะ แต่พอปี 2565 เพิ่มจำนวนขึ้นมาเกือบเท่าตัว เนื่องจากสัญญา SPP ตามนโยบายต้องเดินเครื่อง พอเดินเครื่องปุ๊บก็ต้องไปลดโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ อีกปัจจัยหนึ่งคือ การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทำให้บางช่วงโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อาจไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟ (การเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทำให้ต้องเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซด้วย เพื่อเป็นโรงไฟฟ้าสำรองอีกที กรณีที่โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เป็นการเพิ่มต้นทุนอีกเท่าตัว) ทั้งที่การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มีราคาถูกกว่าโรงไฟฟ้าขนาดเล็กบีบีซีไทย ได้ตรวจสอบ ฐานข้อมูลราคาไฟฟ้าต่อหน่วยของ กฟผ.พบว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ IPP ถ้าเป็น ถ่านหินราคาจะอยู่ที่หน่วยละ 1 บาทกว่าๆ ถ้าเป็น ก๊าซธรรมชาติราคาจะอยู่ราว 3.00-4.60 บาท แตกต่างกันไปแต่ละเดือนและโรงไฟฟ้า ส่วน โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก SPP ประเภทสัญญา Firm จากฐานข้อมูล กฟผ. บันทึกว่า ราคาอยู่ที่หน่วยละ 4.00-4.72 บาทคุณคมกฤช เลขาธิการ กกพ. เปิดเผยกับบีบีซีด้วยว่า มีไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าอีก 2 กลุ่ม ที่ไม่ได้นำมาคิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศ ได้แก่ ไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมและแสงอาทิตย์ จำนวน 7,533 เมกะวัตต์ และ กลุ่มโรงไฟฟ้าประเภทสัญญา Firm ขนาดใหญ่ของ กฟผ.อีก 6,961 เมกะวัตต์ รวม 14,494 เมกะวัตต์ ที่ไม่ได้นับรวมกับ กำลังการผลิตติดตั้งทั้งระบบ 48,000 เมกะวัตต์ถ้ารวมด้วย ประเทศไทยวันนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 62,494 เมกะวัตต์ มากกว่าการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปี 2565 ถึง 1 เท่าตัว ค่าไฟฟ้าส่วนเกินเหล่านี้ถูกนำมาคิดเป็นค่าไฟฟ้าจากประชาชนผ่านระบบ FT ที่เอาสารพัดต้นทุนใส่เข้าไปในนั้นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก SPP ส่วนใหญ่เป็นบริษัทลูกในเครือ โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ IPP ที่ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ต่างก็รู้ดี อยู่แก่ใจ เพราะเป็นผู้อนุมัติ แต่ไม่พูดความจริงเมื่อการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SPP ขายให้ กฟผ.ได้แพงกว่า IPP ถึงหน่วยละ 1 บาทกว่า ดังนั้น โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ IPP ก็ใช้บริษัทลูก SPP ผลิตไฟฟ้าแทน เพื่อให้มีกำไรมากขึ้น เมื่อบวกค่าก๊าซที่แพงขึ้นก็ยิ่งกำไรมากขึ้น คนจ่ายค่าไฟอ่วมคือประชาชน เรื่องซับซ้อนแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้เรื่องดีที่สุด เพราะเป็นประธานผู้กำหนดนโยบาย ทำไมไม่กล้าออกมารับผิดชอบบอกความจริงกับประชาชน.“ลม เปลี่ยนทิศ”