นับเป็นกระแสร้อนแรงไม่น้อย “ทนายความหิวแสง” นิยมนำเรื่องคู่ความมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเปิดเผยต่อสาธารณะ “บางคนใช้สื่อโซเชียลฯ” เป็นเครื่องมืออวดอ้างความรู้เก่งกาจกว่าคนอื่น เพื่อสร้างชื่อเสียงทางสังคมเรียกเรตติ้งอัปค่าตัว กลายเป็นเรื่องไม่เหมาะสมให้เห็นผ่านสื่อแทบทุกวัน ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถามพฤติกรรมการสร้างข่าวนี้ละเมิดจริยธรรม และมรรยาทของทนายความหรือไม่ “จนเกิดงานเสวนาวิชาการเรื่องสิ่งที่สื่อมวลชนควรทราบ เกี่ยวกับมรรยาททนายความ” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสภาทนายความฯดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ บอกว่า ปัจจุบันทนายจำนวนหนึ่งกำลังได้รับความสนใจจาก “สื่อมวลชน” ใช้เป็นพื้นที่สื่อสารกลายเป็นหมิ่นเหม่ละเมิดมรรยาท และกระทบจริยธรรมสื่อมวลชนถ้าจะพูดถึง “มรรยาททนายความ” ตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 ให้อำนาจแก่ “กรรมการสภาทนายความฯ” ออกข้อบังคับว่าด้วยมรรยาท ทนายความ พ.ศ.2529 โดยมีคณะกรรมการมรรยาทคอยทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลคดีเมื่อมี “ผู้เสียหายร้อง” อันเกี่ยวกับทนายกระทำความผิดข้อบังคับมรรยาทแม้แต่ “ความปรากฏ” ตามมาตรา 65 พ.ร.บ.ทนายความฯ ก็ให้อำนาจคณะกรรมการมรรยาทสามารถหยิบยก “กรณีทนายมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมขึ้นมาสอบสวนได้” เสมือนเป็นผู้เสียหายแทนประชาชนที่ถูกกระทบสิทธินั้นแล้วมีบทลงโทษ 3 สถาน คือ 1.ภาคฑัณฑ์ 2.ห้ามเป็นทนาย 3 ปี และ 3.ลบชื่อออกจากทะเบียน หากผ่านพ้นผ่านกระบวนการสอบสวน 5 ปีแล้ว “ทนายความผู้นั้น” สามารถกลับมาทำการขอใบอนุญาตว่าความใหม่ได้ ตามเงื่อนไข “ต้องผ่านการตรวจสอบความเหมาะสม” ถ้าคณะกรรมการพิจารณาพบว่า “บุคคลนั้นไม่น่าไว้วางใจ” มักไม่อนุญาตให้กลับเข้ามาในอาชีพทนายอีกแล้วการลบชื่อออกนี้ก็เกิดขึ้นแทบทุกเดือนถัดมาคือ “นโยบายจัดระเบียบทนาย” ด้วยการแก้ไขข้อบังคับการพิจารณาคดีมรรยาท เพื่อเร่งรัดพิจารณาข้อร้องเรียนให้เร็วขึ้นเพราะที่ผ่านมาไม่มีกรอบเวลาแน่ชัดทำให้หลายเรื่องใช้เวลานาน 10 ปี เบื้องต้น “กรรมการสภาทนายความฯ” มีการหารือแนวทางแก้กรอบการพิจารณาการละเมิดมรรยาทไม่ควรเกิน 1 ปีให้แล้วเสร็จคาดว่าเดือน เม.ย.2566 น่าจะมีผลบังคับใช้เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว “เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย” หากบุคคลใดมีความเห็นต่างเป็นอย่างอื่นก็ต้องไปว่ากันที่ศาลปกครองทั้งยัง “ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองคดีมรรยาทขึ้น 1 ชุด” ทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องร้องเรียนการทำผิดมรรยาท “ยึดแนวทางคดีที่เคยวินิจฉัยนำมาเทียบเคียงในการพิจารณาการลงโทษ” เพื่อลดปริมาณคดีลงในส่วนกรณี “ทนายความอ้างตัวเป็นทนายอาสานำลูกความออกสื่อนั้น” เรื่องนี้ตามหลักทนายความทั่วไป “ไม่สามารถอ้างตัวเป็นทนายอาสาของสภาทนายความฯได้” เว้นแต่ต้องผ่านการอบรมได้ใบรับรองเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีทนายตั้งตัวเป็นอาสากันเองถือว่าเข้าข่ายหมิ่นเหม่ผิดมรรยาทก็ได้ เพราะอย่าลืมว่า “ถ้าทนายรับงานด้วยการใช้อุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง” เพื่อจูงใจให้ผู้ใดมอบคดี ให้ว่าต่างแก้ต่าง เช่น หลอกลวงให้เขาหลงว่าคดีจะชนะแต่ตัวเองรู้สึกแก่ใจว่าจะแพ้ อวดอ้างมีความรู้ยิ่งกว่าทนายคนอื่น หรืออวดอ้างว่ามีพรรคพวกทําให้คดีมีโอกาสได้เปรียบชนะด้วยวิธีใดๆก็ตามการที่ทนายเข้าหา “สื่อให้เสนอข่าว” ในการใช้เป็นเครื่องมือโปรโมตหวังผลให้คดีชนะก็หมิ่นเหม่ผิดมรรยาทโดยเฉพาะข้อ 18 ทนายประกอบอาชีพ ดำเนินธุรกิจหรือประพฤติอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีหรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีเกียรติคุณทนายความ ฉะนั้นประชาชนเห็นทนายแอบอ้างสามารถร้องมาสภาทนายความฯได้เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิสูจน์การกระทำนั้นเข้าข่ายความผิดมรรยาทหรือไม่ ฉะนั้นแล้วแม้ว่า “ข้อบังคับมรรยาทถูกจัดทำขึ้นในปี 2529” ก็ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในยุคนี้ แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบางกรณีให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นในเรื่องนี้ “สภาทนายความฯ” ก็กำลังเร่งดำเนินการกันอยู่เช่นเดียวกับ เกษม สรศักดิ์เกษม ประธานกรรมการมรรยาททนายความ บอกว่า ปัจจุบันผู้เสียหายยื่นคำร้องคดีเข้ามานั้นมักละเมิดมรรยาทหลายข้อ ตัวอย่างเช่น “มรรยาทต่อศาลและในศาล” อันไม่รับหน้าที่ตามที่ “ผู้พิพากษาขอแรง” ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาลดูหมิ่นศาลผู้พิพากษา กล่าวคำเท็จทําเอกสารพยานหลักฐานเท็จ ต่อมา “มรรยาทต่อตัวความ” ยุยงฟ้องร้องคดีให้ได้รับประโยชน์และใช้อุบายไม่ว่าจะหลอกลวงให้หลงว่าคดีจะชนะ อวดอ้างว่าเก่งกว่าทนายคนอื่น เปิดเผยความลับทอดทิ้งคดี ฉ้อโกง ยักยอก หรือตระบัดสินลูกความโดยเฉพาะข้อ 17 ห้ามประกาศโฆษณา หรือยอมให้ผู้อื่นประกาศโฆษณาใดๆ เช่น ทนายนำเรื่องข้อมูลในคดีมาแถลงข่าวส่วนใหญ่มัก “อยากโตเร็ว อยากมีชื่อเสียง” ลักษณะนี้เข้าข่ายความผิดมรรยาทเช่นกันเหตุเพราะ “เมื่อรับว่าความให้ลูกความแล้ว” ควรไปสู้กันในศาลแต่ก่อนเดินทางไปศาลแถลงข่าวไม่สามารถกระทำได้ทุกกรณี “ไม่ว่าลูกความนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง หรือเป็นยาจกก็ตาม” โดยเฉพาะการนำเรื่องในคดีลึกๆมาเล่าให้คนฟัง หรือการนั่งแถลงเป็นการอวดศักดา อวดฝีมือ อันเป็นแสดงการให้มีค่าตัวสูงขึ้นเรื่อยๆลักษณะนี้เป็นเจตนาไม่ค่อยดี “ทนายประพฤติดีควรหลีกเลี่ยง” อย่าลืมว่ากรณีอย่างนี้แม้ไม่มีผู้ร้องก็ตาม “กรรมการมรรยาท” สามารถหยิบยกเรื่องมาพิจารณาความผิดเองได้ แต่ด้วยที่ผ่านมาทนายคงมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวกันโดยไม่ถูกลงโทษเพราะ “ความปรากฏ” มีพยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการดำเนินการลงโทษได้ อย่างไรก็ดี ในปี 2566 “มีผู้เสียหายร้องทนายฝ่าฝืนมรรยาทแล้ว 100 กว่าราย” ฉะนั้นต้องเร่งสะสางคดีคงไว้ซึ่งการผดุงความยุติธรรม และกำราบทนายซ่าๆให้ยุติบทบาทลง เพื่อไม่ให้สังคมเกิดข้อครหานินทาสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ สภาทนายความ บอกว่าตอนนี้มีทนายหน้าสื่อหิวแสงเกิดขึ้น แล้วกำลังจะมีทนายร้องทนายหิวแสงลักษณะหิวแสงซ้อนความหิวแสงเพิ่มอีกสเต็ป “ขอเตือนสื่อมวลชนอย่าหลงทนายกลุ่มนี้” เพราะในอดีตเคยลงโทษทนายหิวแสงชอบให้สัมภาษณ์สื่อมาแล้วหลายกรณีลักษณะชอบอวดอ้างว่า “เป็นทนาย” ทำให้คณะกรรมการมรรยาทหยิบยกมาพิจารณาลงโทษพักใบอนุญาต 2 ปี แล้วในยุคโซเชียลฯเปิดกว้างนี้บางคนใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือ “สภาทนายความฯ” ก็ตั้งทีมติดตามตรวจทนายพฤติกรรมไม่เหมาะสมบนโลกโซเชียลฯเช่นกัน เสมือนเป็น “ตำรวจทนายความ” เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้แล้วไม่จำเป็นต้องจับทุกรายเพียงแค่ “ลงโทษไม่กี่เคส” เชื่อว่าทนายคนอื่นจะหยุดแน่นอนแล้วถ้าไม่ทำจะกลายเป็นการเลียนแบบ เพราะโลกมีวิวัฒนาการไปไกลมากกว่าสมัยก่อนที่ “สื่อมีกี่ช่อง” เมื่อมีปัญหาด้านกฎหมายมักสอบถามมา “สภาทนายความฯ” ขอสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโดยตรง ตอกย้ำปัจจุบัน “สื่อมวลชน” กลับมีการติดต่อกับ “ทนายหิวแสงทำตัวเป็นผู้รอบรู้ทุกเรื่อง” แต่ความจริงแล้วค้นหาข้อมูลจาก “อินเตอร์เน็ตนำมาสัมภาษณ์สื่อถูกๆผิดๆ” กลายเป็นประชาชนรับข้อมูลไม่ถูกต้องเช่นนี้ทำให้ “สภาทนายความมีนโยบายสร้างธรรมนูญเป็นของตัวเอง” ด้วยการรวบรวมความผิดมรรยาท และการลงโทษให้มากที่สุด เพื่อนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานแนวทางลงดาบผู้ทำผิดแบบเดียวกันเสมือนเป็น “ฎีกา” แต่หากผู้ถูกร้องไม่พอใจสามารถอุทธรณ์ต่อนายกสภาทนายความฯ หรือฟ้องต่อศาลปกครองก็ได้สิ่งนี้คือ “วิชาชีพทนายความ” ที่ถูกยกย่องเป็นส่วนหนึ่งของ “กระบวนการยุติธรรม” อันมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการจัดระเบียบแถวใหม่ เพื่อผดุงไว้ซึ่งความประพฤติเหมาะสมทั้งในศาล และนอกศาล ส่วนคนชอบทำผิดมรรยาท “สภาทนายความฯ” ต้องลงดาบเด็ดขาดโดยสังคมจะยังคงเฝ้ารอดูกันต่อไป.