สังคมยังคงเฝ้าจับจ้องผลสรุปการสอบสวนดำเนินคดี “ข้าราชการระดับสูงในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.)” ที่ถูกตำรวจ บก.ปปป.จับกุมพร้อมของกลางเงินสดเกือบ 5 ล้านบาท ในความผิดเรียกรับสินบนโยกย้ายตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ในสังกัดอย่างใกล้ชิดขณะที่ทางด้าน “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)” ก็ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้เช่นกันปรากฏว่า “มีมูลความผิดจริง” จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง อันจะสรุปผลการเอาผิดทางวินัยภายใน 30 วัน เรื่องนี้ ดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เล่าว่า ดำรงค์ พิเดชเดิมทีกรมป่าไม้เป็นหน่วยคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ทั้งหมดในปี 2545 ถูกแบ่งเป็น 3 กรม คือ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมป่าไม้ ภายใต้สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ โดย “อธิบดี” เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในแต่ละกรมมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 8 ลงมา เพื่อปฏิบัติงานหากโยกย้ายขึ้นครองตำแหน่งต้องได้รับความเห็นชอบจาก “ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ” เช่นเดียวกับการแต่งตั้งข้าราชการระดับ 9 ขึ้นไป “อธิบดีกรม” มีหน้าที่เสนอชื่อต่อปลัดกระทรวงฯเป็นผู้พิจารณาทว่าในจำนวน 3 กรมนี้ “กรมอุทยานแห่งชาติฯ” เป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ที่สุดมีข้าราชการ 8 พันกว่าคน และเจ้าหน้าที่ทั่วไปหมื่นกว่าคนคอยดูแลเขตอุทยานแห่งชาติทางบก 129 แห่ง อุทยานแห่งชาติทางทะเล 26 แห่ง รองลงมาคือ “กรมป่าไม้” มีข้าราชการ 4 พันกว่าคน “กรมทรัพยากรทางทะเลฯ” มีข้าราชการ 2 พันกว่าคนสำหรับปรากฏการณ์ “ข้าราชการระดับสูงเรียกรับซื้อขายตำแหน่งในกรมอุทยานแห่งชาติฯ” ที่ผ่านมาก็มีข่าวลือทั้งเรื่องจริงและไม่จริง “ขึ้นอยู่กับนโยบายจิตสำนึกของอธิบดีแต่ละคน” ตามหลักผู้ที่ตั้งใจเข้ามาทำงานจริงๆ มักโยกย้ายคนทำงานมีความสามารถเข้ามาเป็นฝ่ายบริหารในตำแหน่งสำคัญนั้นยกเว้นแต่ “ผู้วิ่งเต้นแล้วถูกแต่งตั้งขึ้นมา” มักโยกย้ายคนที่ชอบหาผลประโยชน์มาอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ เพื่อเก็บเงินเก็บทองส่งต่อให้ตัวเอง อย่างไรก็ดีย้ำว่า “การเรียกรับเงินแลกตำแหน่งนั้น” เป็นพฤติกรรมของคนไม่กี่คนเท่านั้น เพราะที่ผ่านมา “อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ” ส่วนใหญ่ตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติจริงๆ อย่างในปี 2548 “สมัยเป็นอธิบดีใหม่ๆ” เคยมีคนนำสิ่งของใส่กล่องนำมาให้เช่นกันแต่ได้ไล่ตะเพิดให้นำกลับคืนไป นับแต่นั้นก็ไม่เคยมีใครกล้านำมาอีก แม้แต่เทศกาลปีใหม่หรือวันเกิดก็สั่งห้ามนำสิ่งของมาอวยพรเด็ดขาด ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติของกรมอุทยานฯ แต่เป็นการเรียกรับผลประโยชน์เฉพาะตัวบุคคลเท่านั้นหากย้อนดูสมัยก่อน “กรมอุทยานแห่งชาติฯเป็นหน่วยงานที่มีรายได้น้อย” ส่วนใหญ่มักเป็นผลประโยชน์เกี่ยวกับการทำไม้เถื่อน หรือเปิดให้นายทุนสัมปทานอุตสาหกรรมป่าไม้แล้วก็ถูกปิดการทำไม้ทั้งหมดไปกระทั่ง “ประเทศไทยเปิดการท่องเที่ยวให้เกิดรายได้เข้าประเทศ” แล้วการท่องเที่ยวธรรมชาติในเขตอุทยานทางทะเลก็เป็นแหล่งได้รับความนิยมโด่งดังทั่วโลก “จนเกิดรายได้มหาศาล” จากการเก็บค่าเข้าชมนั้น ทำให้มีการร้องเรียนข้าราชการบางคนฮั้วกับบริษัททัวร์ไม่ต้องเก็บบัตรค่าธรรมเนียมรายคนแต่เปลี่ยนเป็นจ่ายรายเดือน “บริษัททัวร์ใดไม่จ่ายมักถูกปฏิเสธการเข้าอ้างโควตารายวันเต็ม” แล้วยังมีการทำใบเสร็จ 2 ชุด ชุดหนึ่งฉีกให้นักท่องเที่ยวจริง อีกชุดส่งเข้าหลวงน้อยกว่าจำนวนจริง เข้าชม 1,000 คน แต่เงินเข้าหลวง 200 คนนอกจากนี้ยังมีรายได้จากร้านอาหาร ร้านค้า หรือนักท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการังอีกต่างหาก เพราะการท่องเที่ยวทางทะเลเข้าได้รอบทิศทางทำให้ยากต่อการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าชม แล้วยิ่งสมัยก่อน “บางแห่งปล่อยให้ทำการประมงตอนกลางคืนในเขตอุทยานฯ” ด้วยการจ่ายตามจำนวนรอบที่เข้ามาจับปลาในเขตอุทยานฯด้วยซ้ำส่วนทางด้าน “เขตอุทยานทางบก” ที่ต่างชาตินิยมมี 4-5 แห่ง ส่วนที่เหลือเป็นคนไทยเข้าชมมีรายได้ค่าธรรมเนียม 50 บาท/ต่อคน เรื่องนี้ผู้บริหารระดับสูงรู้ดี “จุดใดมีผลประโยชน์” แล้วหน่วยงานใดรับงบประมาณมากสิ่งนี้มีข่าวลือกันมาตลอดว่า “เป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์” จนนำไปสู่การแย่งชิงตำแหน่งในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล แล้วบางคนเข้ามาโดยไม่เคยทำงานประจำในเขตทางทะเลมาก่อนเลยด้วยซ้ำ “แต่อาศัยว่าใจถึงพึ่งได้” ทำให้สามารถก้าวกระโดดข้ามห้วยจากอุทยานทางบกเข้ามาในตำแหน่งอุทยานทางทะเลอยู่หลายคนมีคำถามว่า “อัตราจ่ายแลกกับตำแหน่งเกรดเอราคาเท่าใด” เรื่องนี้ไม่มีจำนวนเงินแน่ชัดตายตัวลักษณะการสมยอมระหว่างคนให้ และคนรับ แล้วแต่ละคนก็ต้องแข่งขันกัน “ใครเสนอราคาสูงกว่าคนนั้นก็ได้ไป” ในบางคนอาจวิ่งเต้นผู้มีอำนาจเหนือกว่าอธิบดีกรมอุทยานฯก็มี อันมีสาเหตุจากนโยบายระดับกระทรวงฯไม่ชัดเจนเพราะหากว่า “รมว.ทส.” ประกาศนโยบายชัดเจนว่า “ห้ามอธิบดีรับเงิน” ถ้ามีการร้องเรียนจะถูกย้ายตั้งกรรมการสอบทันที “แบบนี้จะไม่มีใครกล้าทำแน่ๆ” ฉะนั้นประเด็นนี้อาจขึ้นกับนโยบายระดับกระทรวงเช่นกัน แล้วเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณ “ข้าราชการบางคนกล้าออกมาเปิดเผยความจริง” อันจะเป็นจุดเริ่มต้นให้แก่ “ข้าราชการทั่วประเทศกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง หรือความไม่เป็นธรรม” เพราะเชื่อว่าพฤติกรรมลักษณะนี้ไม่ใช่มีแค่ “กรมอุทยานฯ” เท่านั้น เพียงแต่ว่า “ผู้ใหญ่” จะรับรู้หรือไม่อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง“เชื่อว่านับแต่อธิบดีกรมอุทยานฯถูกจับเรียกรับสินบนนั้นระดับอธิบดีกรมอื่นจะไม่กล้าให้ข้าราชการนำสิ่งของมาอวยพรในวันสำคัญอีก โดยเฉพาะการเรียกเงินแลกกับตำแหน่งต้องระวังตัวมากขึ้น อย่าลืมว่าระดับอธิบดีกรมนั้นไม่ใช่มีเฉพาะคนรัก 100% แล้วข้าราชการถูกกดขี่ก็อาจจะออกมาขอความเป็นธรรมอีกก็ได้” ดำรงค์ว่าประเด็นที่ต้องตามกันต่อคือ “กระบวนการสอบสวนดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้อง” แน่นอนตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับ “ผู้ถูกกล่าวหา” จะซัดทอดบุคคลอื่นที่อยู่เบื้องหลังเพิ่มหรือไม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อรูปคดี “อันจะส่งผลให้ผู้ถูกกล่าวหาอาจถูกกันเป็นพยานก็ได้” แต่หากไม่มีการซัดทอดทุกอย่างย่อมจบลงตรงผู้ถูกกล่าวหาเพียงลำพังหนำซ้ำในส่วน “เงินสดระบุชื่อ 21 ซอง ก็มีโอกาสแก้ตัวได้” ด้วยการยกข้ออ้างเป็นเงินบริจาคเข้ากองทุนการกุศลช่วยเหลือสัตว์ป่า หรือดำเนินกิจกรรมอื่นๆ อันเป็นสิทธิสามารถกล่าวอ้างได้ เพราะสมัยเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯเคยเก็บเงินจากข้าราชการคนละ 100 บาทเข้ากองทุนช่วยเหลือช้างป่าเช่นกัน แต่ไม่เคยบังคับต้องนำเงินมาให้อย่างไรก็ดีการดำเนินคดีต้องอยู่ที่ “ตำรวจ” ในการรวบรวมพยานหลักฐานนำสู่การฟ้องคดี แล้วตราบใด “ศาล” ยังไม่มีการพิจารณาตัดสินคดีนี้ “อธิบดีกรมอุทยานฯ” ก็เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาที่ยังไม่มีความผิด แต่ว่า “รมว.ทส.” เป็นผู้บังคับบัญชาที่แต่งตั้งระดับอธิบดีขึ้นมาควรต้องรับผิดชอบร่วมด้วยหรือไม่ ตอกย้ำสิ่งที่อยากเสนอคือ “การปฏิรูปการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง” สมัยเป็นคณะกรรมการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เคยเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติที่มาจากระดับปลัดกระทรวง เพื่อเข้ามาพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการระดับ 10 ขึ้นไป แล้วนำชื่อบุคคลนั้นเสนอต่อรัฐมนตรีทำหน้าที่ขึ้นทูลเกล้าฯต่อไปแต่หากว่า “อธิบดีกรมคนใด” มีการกระทำผิดวินัย “รัฐมนตรี” ก็มีอำนาจสอบสวนอันเป็นลักษณะการคานอำนาจต่อกัน แต่ด้วยเพราะปัจจุบันนี้ “รัฐมนตรี” ยังมีอำนาจคัดเลือกบุคคลขึ้นมาเป็น “อธิบดีกรม” ทำให้ข้าราชการจำเป็นต้องรอรับคำสั่งฝ่ายการเมืองเสมอ ดังนั้นวันนี้ “ผู้นำรัฐบาล” ควรต้องลงมือปรับเปลี่ยนระบบนี้แล้วสุดท้ายขอให้เรื่องการเรียกรับสินบนจากผู้ใต้บังคับบัญชาครั้งนี้ “เป็นบทเรียนอุทาหรณ์สำคัญ” เพื่อให้ข้าราชการทุกระดับชั้น “แต่ละกรม–กอง” ยืนหยัดในความถูกต้อง แล้ว “ระดับผู้อำนวยการ” ควรยืนเป็นเสาหลัก “อย่ายอมถูกครอบงำ” อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม.