ว่าที่พันตรี ดร.สมบัติ วงศ์กำแหง กล่าวต่อว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย 2565 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.65 เหตุผลการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ1.กำหนดโทษอาญาให้เหมาะสมกับสภาพความผิด การกระทำความผิด และฐานะผู้กระทำความผิด2.เพื่อมิให้บุคคลต้องรับโทษหนักเกินสมควร หรือต้องรับภาระรับโทษที่แตกต่างกันอันเนื่องมาจากฐานะทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกฎหมายกำหนดโทษปรับผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีย่อมสามารถชำระค่าปรับได้ แต่ผู้มีฐานะยากจนไม่อยู่ในฐานะชำระค่าปรับได้จะถูกกักขังแทนค่าปรับ อันกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง3.กฎหมายมีข้อห้ามหรือข้อบังคับจำนวนมาก หลายกรณีทำให้ประชาชนกลายเป็นผู้กระทำผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเพราะความยากจนเหลือทนทาน เมื่อทำความผิดแล้วต้องถูกนำตัวสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น ถูกจับกุม คุมขัง และลงบันทึกประวัติอาชญากรมีประวัติติดตัวหลักการใหม่ 1.ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม บรรเทาความเดือดร้อนประชาชนจากมีโทษอาญามากเกินไป2.เปลี่ยนโทษปรับทางอาญาสถานเดียวในกฎหมาย 204 ฉบับเป็น “โทษปรับทางพินัย” ที่ไม่ใช่โทษทางอาญา3.จะไม่มีการกักขังแทนค่าปรับในกฎหมาย 204 ฉบับนั้นอีกต่อไป4.คิดค่าปรับตามฐานะทางเศรษฐกิจและภววิสัยของการทำผิด ถ้าผู้ทำผิดยากจนศาลจะกำหนดค่าปรับให้ต่ำลงมากกว่าฐานที่กำหนดไว้ในกฎหมายก็ได้ หรืองดเว้นก็ได้ รวมทั้งจะให้ทำงานเพื่อสาธารณะทดแทนก็ได้5.ลบทะเบียนประวัติและจะไม่มีการบันทึกประวัติอาชญากรรมในความผิดตามกฎหมาย 204 ฉบับ (ตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การปรับเป็นพินัย) โดยต้องลบทั้งหมดภายใน 365 วันนับแต่วันที่กฎหมายใช้บังคับ6.นำระบบคิดค่าปรับตามรายได้มาใช้ คือไม่ระบุค่าปรับตายตัว แต่ระบุเป็นจำนวนวันตามระดับความรุนแรง แต่ละวันแปรเป็นจำนวนเงินไม่เท่ากัน เพราะจะคิดตามรายได้อิงจากฐานการเสียภาษีรายได้บุคคลประจำปี“ค่าปรับ=จำนวนวัน×รายได้สุทธิต่อวันของผู้กระทำความผิด” วิธีนี้ทำให้คนมีรายได้สูงต้องชำระค่าปรับมากกว่าคนมีรายได้ต่ำ เป็นอีกช่องทางลดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมแต่ต้องระมัดระวังการบังคับใช้ อันเป็นปัญหาจากการกระทำของบุคคลที่มักเลือกปฏิบัติ?ที่สำคัญ หากใช้บังคับแล้วมีปัญหาสามารถนำมาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์สูงสุดในอนาคต.สหบาท