กรณีของปลัดมหาดไทย สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ก็ดี กรณีของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ก็ดี หรือกรณีของอธิบดีกรมฝนหลวง สุพิศ พิทักษ์ธรรม มาจนถึงเรื่องที่ร้อนกันไปทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากการเปิดโปงของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โฟกัสไปที่คดี ตู้ห่าว โฟกัสไปที่ ตำแหน่ง ผบช.น. ของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง และแรงกระเพื่อมไปถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ทำให้คนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกลายเป็นผู้นำประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาปูดขึ้นพร้อมๆกันในโค้งสุดท้ายของรัฐบาลพอดิบพอดี ทั้งๆที่รัฐบาลชุดนี้ ประกาศทำสงครามการคอร์รัปชันในวงราชการและการทำสงครามกับยาเสพติดยังไม่ทันหม้อข้าวดำ สิ่งหนึ่งที่ผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชา ต้องตระหนักให้มากคือ ระบบราชการแบบเดิมๆ เช้าชามเย็นชาม ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตในวิถีใหม่ ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในระบบราชการแบบเดิมๆ แบบเจ้าขุนมูลนาย บวกกับเทคโนโลยีและการเข้าถึงสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างเท่าเทียมการใช้ระบบราชการเข้ามาช่วยในการพ้นผิดหรือไม่ต้องมีการรับผิดชอบใดๆ เนื่องจากเป็นสังคมในระบบอุปถัมภ์ แม้จะทำได้ในสังคมเดียวกัน แต่จะทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมมากขึ้น หรือถ้าคิดจะซื้อสื่อให้ช่วยบิดเบือนความผิด ก็ยังมีสื่ออิสระสื่อออนไลน์มากมายที่พร้อมจะกระจายความผิด มีอิทธิพลมากกว่าสื่อหลักโดยทั่วไปด้วยซ้ำยกตัวอย่างกรณีของ ปลัดมหาดไทย หรือ อธิบดีกรมอุทยาน ก็ดี กลายเป็นไฟลามทุ่งส่งท้ายปี สื่อออนไลน์ไปขุดคุ้ยประวัติชนิดเผาขน มีประวัติการรับราชการมาอย่างไร เติบโตในแวดวงราชการมาอย่างไร ข้อมูลอยู่แค่ปลายนิ้ว มีกระทั่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานการตรวจสอบภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น ปปง. หรือ ป.ป.ช. ก็หนีวิบากกรรมออนไลน์ไม่พ้น แสดงให้เห็นถึงการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการที่หนักข้อขึ้นทุกวันและมองไปถึงการอยู่เบื้องหลังของนักการเมืองในการทุจริตสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ออกมาเรียกร้องให้พิจารณาความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็แล้ว ทนายดังอย่าง เกิดผล แก้วเกิด ออกมายกคำพิพากษาศาลฎีกา กรณีด่าว่าข้าราชการในที่ประชุมถือเป็นความผิดฐาน ดูหมิ่นเจ้าพนักงานก็แล้ว หรือ ศรีสุวรรณ จรรยา ออกมาเรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย สอบจริยธรรมร้ายแรง และสั่งปลดจากตำแหน่งก็แล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับต่อการรับผิดชอบใดๆออกมา ทำให้มาตรฐานระบบราชการดูมัวหมอง ชัดเจนขึ้นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเจริญแค่ไหน ไม่ว่าสังคมออนไลน์จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเหล่านี้รุนแรงขนาดไหน ก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการ ปฏิรูประบบราชการไทย อยู่ดี ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกมากกว่าจะต้องเริ่มต้นจากหัวไม่ส่าย มีมาตรฐานวัดการก้าวหน้าของข้าราชการด้วยผลงานและจริยธรรม เลิกระบบรุ่นและสถาบัน ส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคมข้าราชการ ยึดประชาชนเป็นพระเจ้าและยึดคำพูดเป็นนายเราวิสัยทัศน์ผู้นำจึงมีความสำคัญในการพัฒนาประเทศมากที่สุด.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th