ต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของคุณหมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ โพสต์ข้อความเตือนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวในโพรงต้นไม้ เพื่อดูค้างคาวในจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้ระวังโรคปอดอักเสบชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า โรคฮิสโตพลาสโมซิส ซึ่งเกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราฮิสโตพลาสมาเข้าไป จนทำให้เกิดอาการไอแห้งๆ บางครั้งไอมีเสมหะสีขาว อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เดินขึ้นบันไดเหนื่อย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด 2 กิโลกรัม ไม่มีไข้ ไม่ปวดหัว ไม่ปวดกระดูก พอไปพบแพทย์ แพทย์เอกซเรย์ปอด พบว่ามีความผิดปกติ โดยมีก้อนเล็กๆกระจายทั่วปอดทั้ง 2 ข้าง ทำคอมพิวเตอร์สแกนปอดและช่องท้อง พบก้อนเล็กๆในปอดกระจายทั่วปอดทั้งสองข้าง ก้อนในปอดด้านล่างขนาดใหญ่ถึง 1 เซนติเมตร (ดูรูป) พบก้อนในต่อมหมวกไตข้างซ้ายขนาด 0.5 × 1.1 เซนติเมตร และม้ามโตเล็กน้อยแพทย์ได้ทำการผ่าตัด ตัดชิ้นเนื้อจากปอดด้านซ้าย ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา พบว่ามีเนื้อเยื่อตายและการอักเสบแบบแกรนูโลมา (necrotizing granulomatous inflammation) ไม่พบวัณโรค ย้อมสีพบเชื้อราลักษณะเป็นยีสต์ เพาะเชื้อราขึ้น Histoplasma capsulatum โดยผู้ป่วยน่าจะเป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส จากการหายใจเอาสปอร์ Histoplasma capsulatum เข้าไปหลังจากเข้าไปในโพรงต้นไม้ ทำให้เกิดปอดอักเสบ กระจายไปที่ต่อมหมวกไตและม้าม คุณหมอมนูญ ให้รายละเอียดของโรคฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis) ว่า เป็นโรคที่เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราฮิสโตพลาสมา แคปซูลาตุม (Histoplasmacapsulatum) ซึ่งมาจากมูลค้างคาวหรือนกเข้าปอด และบางคนอาจกระจายไปอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ไขกระดูก ต่อมหมวกไต สมอง เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยสำหรับเชื้อรา Histoplasma capsulatum พบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นดินที่ปนเปื้อนมูลนกและค้างคาวในบริเวณโพรงต้นไม้ ใต้ต้นไม้ใหญ่หรือในถ้ำ เชื้อราก่อโรคชนิดนี้จะมีรูปร่าง 2 ลักษณะ (dimorphic fungi) โดยในธรรมชาติจะอยู่เป็นสายราที่สามารถสร้างสปอร์ได้และเมื่อเราหายใจเอาสปอร์ของเชื้อเข้าไปในปอดหรือมีการติดเชื้อในร่างกาย เชื้อดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นยีสต์โรคนี้พบการติดเชื้อได้ทั้งในคนปกติและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติเดินป่าหรือไปเที่ยวในถ้ำที่มีมูลนกหรือมูลค้างคาวปริมาณมากโดยไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย พื้นที่ระบาดของโรคนี้อยู่ในแถบทวีปอเมริกา แอฟริกา และในบางพื้นที่ของทวีปเอเชีย ในขณะที่ประเทศไทยพบความชุกอยู่ที่ร้อยละ 0.3-1 โดยมักพบการระบาดเป็นหย่อมๆ ในบางพื้นที่ แถบภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงภายหลังการติดเชื้อได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ human immunodeficiency virus (HIV) ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เด็กแรกเกิด และผู้สูงอายุ ภายหลังการสูดดมเอาสปอร์ของเชื้อเข้าไป เชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-17 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่ที่มักไม่แสดงอาการป่วย แต่ในบางราย ประมาณแค่ 1% มักแสดงอาการและอาการต่างๆ โดยปกติโรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อ ที่ปอด การติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือการติดเชื้อแบบแพร่กระจาย (disseminated histoplasmosis) ความรุนแรงของโรคขึ้นกับปริมาณของเชื้อที่ได้รับและระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ไอแห้ง อ่อนเพลีย หนาวสั่น เจ็บหน้าอก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีผื่นหรือปวดข้อ นอกจากนี้ในผู้ที่มีภาวะโรคปอดอยู่แล้ว เช่น โรคถุงลมโป่งพอง อาจมีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเรื้อรังรวมถึงอาการรุนแรงได้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันปกติการติดเชื้อเฉียบพลันที่ปอดสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยารักษา ในขณะที่กลุ่มที่ต้องใช้ยารักษาจะใช้ยาต้านเชื้อราเป็นหลัก ได้แก่ amphotericin B และ itraconazole โดยขนาดและระยะเวลาการให้ยาจะขึ้นกับความรุนแรงและลักษณะทางคลินิกของโรค นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางรายอาจมีการผ่าตัดในกรณีที่มีภาวะอุดตันหรือการกดเบียดอวัยวะข้างเคียงการป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อหรือมีความชุกของโรคสูง ถ้าจำเป็นต้องเดินทางไปควรใส่หน้ากากอนามัย สวมถุงมือหรืออุปกรณ์ป้องกันและล้างมือให้สะอาดสม่ำเสมอเมื่อต้องทำงานในพื้นที่ที่มีมูลนกหรือมูลค้างคาวมาก ควรรดน้ำบริเวณนั้นให้ชุ่มเพื่อลดการฟุ้งกระจายของละอองมูลสัตว์หรือดินที่อาจปนเปื้อนสปอร์ของเชื้อและควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือ ก่อนการทำงานทุกครั้งควรสังเกตอาการหรือความผิดปกติของตนเองภายหลังจากการไปเที่ยวป่าหรือถ้ำรวมถึงไปในพื้นที่ที่มีมูลนกหรือค้างคาวปริมาณมาก ถ้าพบอาการผิดปกติหรือไม่สบายควรรีบพบแพทย์ทันที.