นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผยว่า การแปรรูปมะม่วงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและเพิ่มมูลค่า พันธุ์ที่นิยมใช้แปรรูปอย่างกว้างขวางคือ พันธุ์แก้วขมิ้น และในกระบวนการแปรรูปมะม่วงจะมีส่วนเหลือทิ้งสูงถึง 50% และในจำนวนนี้เป็นเมล็ดมะม่วงกว่า 60% ส่งผลให้เกิดขยะเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม“ทั้งที่เมล็ดมะม่วงเหลือทิ้งมีส่วนที่เป็นเนื้อในเมล็ดอยู่ถึง 45-75% มีไขมันเป็นองค์ประกอบ 7-12% และไขมันที่สกัดได้จากเนื้อในเมล็ดมะม่วงมีคุณสมบัติสามารถละลายและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวมนุษย์ได้ดี นอกจากนี้ยังมีรายงานการค้นพบสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดในไขมันจากเนื้อในเมล็ดมะม่วง เช่น สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ และสารประกอบฟินอลิก ที่สามารถทำให้ผิวขาวขึ้น และป้องกันการเกิดริ้วรอยที่เป็นผลมาจากปฏิกิริยาออกซิเดชันได้” อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเผยอีกว่า กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลผลิตเกษตร กรมวิชาการเกษตรได้วิจัยคุณสมบัติที่สำคัญของไขมันจากเนื้อในเมล็ดมะม่วงเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง พบว่า ไขมันเนื้อในเมล็ดมะม่วงแก้วขมิ้นมีกรดไขมันอิ่มตัว 37.89% และไม่อิ่มตัว 62.11% มีจุดหลอมเหลวที่ 36.6 องศาเซลเซียส ใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติสำคัญทางเครื่องสำอาง พบว่า มีความสามารถในการยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน และยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เป็นสาเหตุความหมองคล้ำของผิว รวมทั้งสามารถยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ไฮยารูลอนิเดสที่ทำหน้าที่ในการย่อยกรดไฮยาลูรอนิคที่กักเก็บความชุ่มชื้นใต้ผิวหนัง และยังมีความสามารถในการยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์อีลาสเตสและคอลลาจีเนสที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยและความเหี่ยวย่น งานวิจัยนี้จึงนำไขมันเนื้อในเมล็ดมะม่วงมาทำเป็นส่วนผสมสำคัญในการให้ความชุ่มชื้นในโลชั่นทาผิว ที่ปริมาณ 1.0-3.0% โดยน้ำหนัก พบว่า ค่าความเป็นกรด-ด่างของโลชั่นเป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 478-2555 “ผลิตภัณฑ์ทาบำรุงผิว” ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคือง “ดังนั้นไขมันเนื้อในเมล็ดมะม่วงพันธุ์แก้วขมิ้นที่ได้มาจากส่วนเหลือทิ้งจากกระบวนการแปรรูปสามารถใช้เป็นส่วนผสมเพื่อให้ความชุ่มชื้นในเครื่องสำอางต่างๆได้ และยังสามารถใช้แทนไขมันจากพืชที่มีราคาแพง เช่น ไขมันจากเมล็ดโกโก้และเมล็ดเชียที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องสำอางซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนของรัฐบาล โดยนำทรัพยากรที่ใช้ประโยชน์ในขั้นแรก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอีกครั้ง เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเพื่อลดปริมาณขยะจากภาคการผลิตให้เป็นศูนย์ ZERO WASTE” นายระพีภัทร์ กล่าวทิ้งท้าย.