ที่กรมสุขภาพจิตจัดกิจกรรม “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก 2565 MIND VOICE เสียง...ที่ต้องใช้ใจฟัง” พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเปิดงานว่า องค์การอนามัยโลกคาดการณ์แต่ละปีจะมีการฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่า 1 ล้านคน หรือทุก 40 วินาทีมีคนฆ่าตัวตาย 1 คนสำเร็จ สำหรับประเทศไทย 2 ปีที่แล้วอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.38 ต่อแสนประชากร โดยยุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ ได้ตั้งธงอัตราการฆ่าตัวตายต้องไม่เกิน 8 ต่อแสนประชากร การดูแลป้องกันประชาชนยังเดินหน้าต่อไป โดยสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 ในรอบ 11 เดือน ที่ผ่านมาพบคนที่เข้ามารับบริการที่มีความคิดฆ่าตัวตายถึง 1,554 คน เฉลี่ย 141 คนต่อเดือน จากการติดตามของเจ้าหน้าที่ทำให้เปลี่ยนความคิดฆ่าตัวตายลดลงร้อยละ 74.09 ส่วนแอปพลิเคชัน Mental Health Check In มีผู้ใช้บริการเกือบ 3.6 ล้านคน สามารถค้นพบผู้เสี่ยงฆ่าตัวตายได้ถึง 167,216 คน ทีมช่วยเหลือสามารถเข้าถึงตัวและให้คำแนะนำได้ถึงร้อยละ 92.15 นอกจากนี้ยังมีช่องทางปรึกษาออนไลน์ผ่านแชตไลน์ KHUIKUN (คุยกัน) ซึ่งเชื่อมโยงกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในทีมปฏิบัติการพิเศษป้องกันการฆ่าตัวตาย ส่วนคนที่ไม่สามารถเข้ารับบริการผ่านดิจิทัล ก็มี อสม.และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) เข้าไปดูแลนพ.ณัฐกร จำปาทอง ผอ.สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ช่วงเวลาที่คนวางแผนคิดฆ่าตัวตายมากที่สุดเป็นช่วง 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน เป็นช่วงโดดเดี่ยว จึงเป็นความเสี่ยงที่มากกว่าช่วงเวลาอื่น ปัญหาการฆ่าตัวตายจะบ่มเพาะจนสุกง่อมประมาณ 1-2 ปีหลังเกิดวิกฤตินั้น ดังนั้นวิกฤติโควิดปี 2563-2565 จึงเป็นช่วงที่สุกง่อม จะเห็นว่าช่วงปี 2563 อัตราการฆ่าตัวตายกระโดดขึ้นเป็น 7.35 ต่อแสนประชากร ถือว่าสูงสุดในรอบ 17 ปี และปี 2564 เพิ่มเป็น 7.38 เฉลี่ยเป็นคนตายประมาณ 4,820 คน พูดได้ว่า 1 ปีมีคนทำร้ายตัวเองสำเร็จเกือบ 5,000 คนผศ.นพ.ปราการ ถมยางกูร ผู้แทนสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สัญญาณเตือนการฆ่าตัวตาย ได้แก่ 1.คำพูด เช่น บ่นไม่อยากอยู่แล้ว พูดสั่งเสีย 2.พฤติกรรม แยกตัว ดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดมากขึ้น 3.อารมณ์ หดหู่ เศร้า โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวน และในความพยายามฆ่าตัวตายพบเป็นผู้หญิงมากกว่าชาย 3 ต่อ 1 ขณะที่ผู้ชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าหญิง 3 ต่อ 1 ถ้าเราพบผู้ป่วยซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการรักษาใดๆเลยมีโอกาสเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงถึงร้อยละ 20 หากได้รับการรักษาความเสี่ยงจะลดลงเหลือร้อยละ 0.14.